Sunday 31 July 2016

ภาค Reborn - "จงออกนอกนอก Comfort Zone - Go Run!!!" #20




ช่วงเดือนที่ผ่านมา ผมเริ่มอัดเรื่องการสร้าง portfolio ให้เพื่อนในกลุ่มฟัง ตอนนี้เพิ่งกำลังถึงช่วงการทำ Beta อยู่เลยกะลังจะไปต่อเรื่องการทำ Alpha เห็นเพื่อนเริ่มตื้อๆ ไป เลยเริ่มค่อยๆ ชลอล่ะ จริงๆ เนื้อหามันก็ค่อนข้างเยอะอยู่นะสำหรับผู้เริ่มต้นใหม่เลยจริงๆ

ช่วงที่มีเวลาว่างหน่อย ผมก็จะมานั่งเรียบเรียงที่พิมพ์ๆ อธิบายเพื่อนๆ ไปมาสรุปให้ฟังเป็นภาษาเขียนอีกที ก็อย่างที่เห็นใน blog และ page นี่ล่ะครับ (#พยายามจะเขียนให้เข้าใจง่ายที่สุดและตัดประเด็นที่ผมคิดว่าซับซ้อนเกินไป หรือประเด็นที่ผมคิดว่าไม่ใช่แก่นของมันทิ้งไปนะครับ #ถ้าใครมีคำถามก็พิมพ์ไว้ใน page Fackebook ได้นะครับ)

ช่วงเดือนที่ผ่านมานี้ ผลจากการใช้ zeigarnik effect ยังได้ผลดีเป็นที่น่าพอใจ
ทำให้เดือนนี้ผมสามารถออกนอก comfort zone (ที่เพิ่มเติมจากการวิ่ง) ได้สำเร็จ โดยการดันบทความใน Blog ออกมาได้ 25 อันตามเป้า (วันไหนติดธุระ หรือ ออกกำลังหนักๆ ก็คงไม่ได้เขียนอ่ะคับ เหนื่อยไป)

รูปด้านบนเอา stat ช่วงที่วิ่งตอน app Nike อยู่ระหว่างช่วง 50-250 กิโล (ช่วงสีแดงก่อนเปลี่ยนเป็นสีเขียว) มาให้ดูเปรียบเทียบกับของเดิม ช่วงที่วิ่ง 50 กิโลแรกครับ

http://crazygoatgod.blogspot.com/2016/06/reborn-comfort-zone-go-run-8.html

แต่เดิมช่วงแรกที่วิ่งระยะ 5 กิโลจะอยู่ที่ pace 8 => ก็พัฒนามาเป็น pace 7 ครับ ลดลงเฉลี่ยกิโลนะ 1 นาที
ถ้าเวลา 1 ชั่วโมงเดิมจะวิ่งได้ 6.5 กิโล => ก็พัฒนามาเป็น 7.5 กิโล ได้เพิ่่มขึ้นมา 1 กิโลต่อชั่วโมง
ส่วนถ้าวิ่งระยะ 10 กิโล โดยปกติจะพยายามให้อยู่ในเวลาประมาณ 1 ชม 20 นาทีครับ


https://www.facebook.com/crazygoatbuster/



Saturday 30 July 2016

ภาค Reborn - "The Armageddon trader!!!" #14




Method คือ อะไร#4

  • ว่าจะเขียนเรื่อง Method อีกซัก 1- 2 ตอนพอล่ะ เพราะว่า กุญแจสำคัญในการเทรดมันไม่ได้อยู่ที่เรื่องนี้เลย ก็เลยว่าจะเขียนแค่พอหอมปากหอมคอ ให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่เพิ่งจะเริ่มหัดเทรดได้พอเข้าใจและมองเห็นภาพเท่านั้นครับ ว่าอย่าไปยึดติดที่วิธีการ หรือ การตามล่าหา Holy grail 
  • ประเด็นอื่นๆ ในเรื่องของ Method ยังมีอีกมากมาย เอาเท่าที่พอนึกออกตอนนี้ เช่น ต่อให้เราคิดถูก วิเคราะห์ถูก ราคามันก็ไม่จำเป็นต้องไปทางเดียวกันกับที่เราวิเคราะห์ได้ถูกต้อง เพราะถ้าเราคิดได้เหมือนคนส่วนมาก (แม้ว่ามันจะถูกต้อง) เราก็ยังต้องโดนเจ้ามือกินอยู่ดีแหละ เพราะกลยุทธ์และรวมถึงเรื่องอื่นๆ ทั้งหมดของเจ้ามือ หรือ เจ้าของเงินปริมาณมหาศาลนั้น เค้าฉลาดกว่าและเหนือกว่าพวกเราเกือบหมดทุกเรื่องอ่ะแหละ (#ไม่งั้นมันจะดูดเงินไปอยู่ที่มันเกือบหมดได้ยังไงล่ะ #บางทีมันก็โกงด้วย เอาเปรียบด้วย ทุกเรื่องอ่ะแหละที่ทำได้ 555) และนั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคนส่วนใหญ่ในตลาด 80-90% มักจะขาดทุนเสมอ 
  • นอกจากนัั้นแล้ว ถึงแม้ว่าเราจะวิเคราะห์ได้ถูกต้อง เราก็ไม่รู้อีกแหละว่าราคามันจะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงออกมาเมื่อไหร่ บางทีรอนานหลายปีจนคิดว่าคิดผิดไปแล้วก็มีนะ (พอทนไม่ไหวขายทิ้งแล้วราคามันถึงค่อยไป 555)
  • เพราะในความเป็นจริงแล้วเราไม่สามารถเดาใจผู้เล่นในตลาดได้จริงๆ หรอก (โดยเฉพาะรายใหญ่เจ้าของ Fund Flow ตัวจริง)  ว่าเค้าจะทำอะไร วันไหน เมื่อไหร่ที่เค้าจะ take action แล้วในตลาดก็ไม่ได้มีแค่ผู้เล่นไม่กี่ราย มันมีเยอะมากๆ แม้แต่รายใหญ่ก็ยังเยอะ แล้วมันก็ยังมีที่รายใหญ่สู้กันเองอีก แล้วใครจะแพ้จะชนะแล้วคุณจะรู้ได้ยังไง จริงป่ะ (คือ จริงๆ ก็มีคนทำได้อ่ะนะ ซึ่งมันก็คงไม่ใช่แบบพวกเราๆ ที่เพิ่งเริ่มต้นเทรดแน่ๆ ใช่ป่ะล่ะ #เช่น พวกแบบระดับ Hedge Fund Manager เทพๆ ไงที่ดูดเงินพวกเราไปน่ะ) 
  • ยังมีอีก เช่น ต่อให้เราหาวิธีการแจ่มๆ ที่มี odd สูงๆ มาได้ (Back test/Forward test แล้วก็ตาม) ก็อย่าได้ประมาทย่ามใจก็แล้วกัน เพราะมันยังมีเรื่องของ Strategic Capacity หรือขีดจำกัดของแต่ละวิธีการแต่ละ Model อยู่ดี (ถ้าพอร์ตของเราเล็กๆ ก็ยังไม่เป็นอาไรนะ แต่ถ้าพอร์ตเริ่มใหญ่แล้วต้องเจอกำแพงตัวนี้แน่ๆ อย่างที่บอกคือ เรากำลังสู้กับคนอยู่นะ ไม่มีใครยอมให้กินตังค์ง่ายๆ หรอก #เราจะไปแบ่งเค้กกับเค้า เรามีดีพอหรือยัง?) #http://mudleygroup.blogspot.com/2010/01/mudley-group-hedge-fund-school-part-2.html 
  • เพราะถ้าทุกคนต่างก็งัดวิธีที่สุดยอดมาใช้กันหมด เอามาห้ำหั่นกันในตลาด แล้วทุกคนจะได้กำไรกันหมดจริงๆ หรือ แล้วใครจะเป็นคนเสียตังค์ล่ะ??? [Parrondo's paradox]


Friday 29 July 2016

ภาค Reborn - "The Armageddon trader!!!" #13



Method คือ อะไร#3

กลับมาต่อจริงๆ แล้วประเด็นในเรื่องของ Method ของผม ก็คือ 

  • ในช่วงที่เราเริ่มต้น ตอนที่เรายังไม่มี skill เราจะเอาตัวรอดและฝึกฝนวิชาจนกว่าจะรู้จริตนิสัยของตัวเองในเรื่องของการเทรดได้ยังไง โดยที่ยังไม่ล้มหายตายจากตลาดไปก่อนตะหาก => ซึ่งหลังจากรู้ที่จริตนิสัยของตัวเองแล้ว (Mental) + เริ่มที่จะมี skill แล้ว เราถึงจะสร้างองค์รวมของการเทรดที่เป็นสไตล์ของตัวเราเองขึ้นมาได้ตะหากล่ะ นี่แหละคือสิ่งที่สำคัญที่สุด!!
  • ประเด็นต่อมาของผมในเรื่องของ Method ก็คือ ไม่ว่าเราจะใช้วิธีการอะไรใดๆ ในโลกนี้ ในการ approach ตลาด หรือ product ก็ตาม ยังไงมันก็ไม่มีทางที่จะถูกต้องได้ 100% กล่าวคือ ไม่ว่าเราจะใช้วิธีการอะไรในการซื้อขาย เลือก product หรืออะไรก็ตามแต่ ยังไงก็ไม่มีวันที่จะทำได้ถูกต้อง 100% เพราะถ้ามันถูกต้องได้ 100% เมื่อไหร่ ก็เท่ากับเราทำนายอนาคตทุกเหตุการณ์ได้ทั้งหมดเท่านั้นเอง ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ (ถูกป่ะล่ะ) แต่ผู้คนมากมายในตลาดกลับ (หลงทาง) เฝ้าค้นหาวิธีการที่จะทำกำไรได้อย่างแน่นอน (ซึ่งมันไม่มีอยู่จริง => ฝรั่งจะเรียกว่า No "Holy grail")
  • จริงๆ วิธีการที่พอใช้ได้ม้นก็มีอยู่แหละ ไม่ใช่ว่า Fundamental หรือ Technical หรือวิธีการอื่นๆ อีกร้อยแปดจะใช้การไม่ได้  แต่เราจะใช้มันยังไงให้เหมาะสมตะหากล่ะ เพราะไม่มีวิธีการใดที่จะสามารถใช้ได้ในทุกสถานการณ์ ซึ่งเราก็ต้องใช้เวลาเรียนรู้วิธีการที่จะใช้มันอีกอยู่ดีอ่ะแหละ
  • บางวิธีการในอดีตอาจจะเคยใช้ได้ แต่ในปัจจุบันเริ่มที่จะใช้ไม่ได้แล้วก็มี หรือปัจจุบันใช้ได้ อนาคตอาจจะใช้ไม่ได้ก็ได้ หรือ วิธีการบางอย่างที่เคยเป็นความลับไม่มีคนรู้ พอคนเริ่มรู้หรือใช้กันมากๆ ขึ้น มันก็เริ่มที่จะใช้ไม่ได้แล้ว (เนื่องจากเป็น Zero-sum game) พอคนใช้น้อยลงแล้ว บางทีมันก็เริ่มกลับมาใช้ได้ใหม่ วนไปวนมาอยู่อย่างนั้น (Game theory)
  • หรือมองในอีกแง่มุมนึงง่ายๆ ก็คือ สมมติว่ามี 2 ฝ่ายกำลังต่อสู้กัน ถ้าฝ่ายนึงมันใช้กลยุทธ์วิธีการรูปแบบนึงโจมตีอีกฝ่ายนึงแบบเดิมทุกวันทุกวัน ได้เงินจากอีกฝ่ายนึงไปทุกวันทุกวัน คำถามคือ แล้วอีกฝ่ายนึงมันจะยอมให้ทำแบบนั้นไปเรื่อยๆ ได้รึเปล่า สุดท้ายแล้วอีกฝ่ายนึงมันก็ต้องคิดหาวิธีการแก้เกมส์จากอีกฝ่ายนึงจนได้แหละ (ซึ่งถ้าทำไม่ได้มันอาจจะหนีเลยก็ได้นะ 555)
  • พูดในแง่รวมๆ ก็คือ จริงๆ แล้วเรากำลังทำสงครามกันคนอื่นอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ (แม้ว่าเราอาจจะไม่ได้คิดแบบนั้น แต่จริงๆ แล้วมันก็ยังคงเป็นแบบนั้นแหละ เพราะมนุษย์ไม่เคยเปลี่ยน!) ในสมัยโบราณก็ใช้อาวุธจริงรบพุ่งแย่งชิงดินแดนหรือทรัพยากรกัน ปัจจุบันมันเปลี่ยนจากอาวุธกลายเป็นเอาอำนาจของเงินตรามารบกันในระบบทุนนิยมเท่านั้นเอง เป้าหมายก็คือ การแย่งชิงทรัพยากรกันเหมือนเดิมน่ะแหละ 
  • สรุป คือ เรากำลังทำสงครามกับคนอยู่ คนมันไม่ยอมกันง่ายๆ หรอก มรึงตีหัวกรูทุกวันทุกวัน แล้วใครจะยอมไปยื่นหัวให้คนอื่นตีทุกวันทุกวันไปได้ตลอดล่ะ ถูกป่ะ



Wednesday 27 July 2016

ภาค Reborn - "The Armageddon trader!!!" #12



#ว่าด้วยเรื่องของการฝึก skill (แนว Hard core)


“Every job requires experience, and experience takes time”
_____________________________________________________

ในหนังสือ Outliners ของ Malcolm Gladwell บอกไว้ว่า ถ้าคุณตั้งใจฝึกซ้อมอะไรไปก็ได้ซัก 10,000 ชั่วโมง คุณต้องกลายเป็นสุดยอดในด้านนั้นแน่ๆ (แต่ถ้าคุณไม่มีฉันทะ ใจไม่รักจริง แล้วคุณจะทนทำมันไหวมั๊ยล่ะคับ หุหุ) => เปรียบเทียบกับคนที่ทำงานประจำไปวันๆ ประมาณ 5 ปี ก็ยังเชี่ยวชาญในงานนั้นๆ แต่ว่าถ้าจะไปเปรียบคนที่ใจรักในงานนั้นๆ มากๆ ทำไป 5 ปีเนี่ยเค้าก็แปลงร่างกลายเป็นซุปเปอร์ไซย่าแล้วนะครับ

คนที่ประสบความสำเร็จอาจจะมาจากการผสมผสานระหว่าง Talent + Effort + Time + Ability แต่ถ้าถามเค้าเหล่านั้นว่าจริงๆ แล้วอะไรที่ทำให้พวกเค้าเหล่านั้นประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่ก็มักจะตอบว่า การฝึกซ้อมครับ ฝึกๆๆ ซ้อมๆๆ ซ้อมมันเข้าไป


ทำให้เป็นไม่ยาก แต่ทำให้เก่งยากโคตร:
_____________________________________________________

งานเกือบทุกอย่างส่วนใหญ่จะเป็นแบบที่กล่าวด้านบนครับ คือ หัดทำให้เป็นนั้นไม่ยาก แต่ถ้าจะทำให้เก่ง (มากๆ) นั้นยากโคตรครับ ยกตัวอย่างง่ายๆ เหมือนการเล่นดนตรีหรือกีฬาให้เก่งๆ เช่น การเล่นกีตาร์ ในตอนเด็กๆ ที่เรามองมือกีตาร์วงดัง solo เพลงในตำนาน มันช่างเท่ห์เหลือเกินฝุดๆ ถ้าเราอยากเล่นเก่งเหมือนเค้า ก็ทำได้ครับ ไม่มีปัญหา เราก็ไปซื้อกีตาร์มา แล้วหัดเล่นเองก็ยังได้ แป๊บเดียวก็เป็นแล้วคับ แต่เป็นแบบ ...ง๊องแง๊ง...

แต่ถ้าเราอยากเก่งเทพ วิธีการก็ต้องเปลี่ยนไปถูกมั๊ยคับ เพราะถ้าหัดเอง งมเอง มันก็วนอยู่ในอ่างอยู่อย่างนั้น => เราก็ต้องไปหาวิธีการหัดเล่นแบบที่ถูกต้อง หรือไม่ก็หาอาจารย์ดีๆ หา role model แล้วก็ฝึกๆๆ ฝึกมันเข้าไป => ถ้าเราลองไปอ่านประวัติของพวก Guitar hero ที่ดูผมยาวรุงรังภายนอกเหมือนขี้เหล้าติดยา แต่คนเหล่านี้ก็ยังซ้อมกีตาร์วันละ 6-8 ชั่วโมง ทำมาแล้ว 10 ปีขึ้นไป ซึ่งนั่นก็คือ หนทางที่คุณจะต้องเดินไปถ้าอยากจะเล่นเก่งเหมือนอย่างเค้า (แต่ไม่เกี่ยวอีกนะครับ ว่าเล่นเก่งแล้วจะเท่ห์ + ได้ออกอัลบัมดังได้เหมือนเค้ารึป่าว มันเป็นคนละเรื่องกัน) ซึ่งกว่าคุณจะเล่นจนเก่งแบบนั้นได้แล้ว ขั้นต่อไป คุณยังต้องหาวิถีทางของตัวเองให้เจอ จนคนรู้ว่าสำเนียงกีตาร์แบบนี้เป็น signature ของเรา กว่าจะได้แบบนั้นเนี่ยต้องแลกด้วยความพยายามและหงาดเหงื่อที่มากมายขนาดไหน ...

ลองดูแบบจอน เมียง (John Myung) มือเบส วง Dream theater เล่นก็ได้คับ ว่าคนที่เล่นดนตรีเก่งมากๆ เป็นยังไง (จิงๆ Dream theater เค้าก็เมพทั้งวงอยู่แล้ว แต่ผมยกตัวอย่างมือเบส เพราะว่าการจะเล่นเบสให้โดดเด่น โดยไม่โดนเมพคนอื่นๆ ในวง กลบรัศมีเอามันยากมากๆ ครับ) เคยมีคนแซวว่า ถ้าอยากเล่นเก่งแบบนี้ก็ฝึกไปเลยคับ 24 ช.ม. ต่อวัน ซัก 3-4 ปีก็ได้ล่ะ (ประมาณ 30,000 ชั่วโมง++เอง หุหุ มากกว่าที่ Outliners บอกไว้อีก 3 เท่า)


5 Minutes to learn and a Lifetime to master:
_____________________________________________________

อีกตัวอย่างนึง คือ การเล่นหมากล้อม (โกะ) => หมากล้อมนี่เรียกได้ว่าเป็นหมากแห่งประสบการณ์เลยทีเดียว คุณไม่อาจจะวิ่งแซงคนอื่นได้เลยครับ คุณต้องหัดเล่นหัดเรียนรู้ไปทีละกระดาน ในช่วงเริ่มต้นหัดเล่นนั้นคุณยังเล่นไม่เป็นแน่นอน ถึงคุณจะไปเล่นกับระดับคิว (Kyu) เค้าต่อให้คุณลงก่อน 9 เม็ด เค้าก็กินคุณหมดกระดานอยู่ดีครับแน่นอน มันสู้กันไม่ได้เลย สมมติคุณเกิดชอบเล่นขึ้นมา คุณก็หัดเล่นต่อไปเรื่อยๆ แม้ว่าจะเล่นไป 500 – 1,000 กระดานแรกแล้วก็ตาม ถ้าเกิดคุณได้มีโอกาสไปเล่นกับโปรระดับดั้ง (Dan) ที่สูงๆ โดยที่เค้าต่อหมากให้คุณลงก่อน จะกี่เม็ดก็ตามคุณก็แพ้เค้าวันยังค่ำอ่ะคับ เรียกว่า มันสู้กันไม่ได้เลยครับ การจะชนะโปรโกะระดับสูงได้นั้นไม่มีคำว่าฟลุ๊คแน่นอนครับ

เพราะว่าอะไรครับ เพราะว่าหมากล้อมกระดานมันใหญ่มากขนาด 361 จุด ตาเดินตาต่อๆ ไปจะลงตรงไหนก็ได้ เพราะฉะนั้นจำนวนความน่าจะเป็นในการลงเม็ดต่อๆ ไป ก็เหลืออีกแค่ 360! ซึ่งมีค่ามหาศาล (ประมาณ 10 ยกกำลัง768) กว่าที่สมองคุณจะคิดประมวลผลและจดจำรูปแบบของมันได้ ว่าวางหมากเม็ดนี้แล้วมันจะ effect ส่วนอื่นๆ ในกระดานยังไง แล้วหมาก
เม็ดต่อไปเราควรจะเล่นตรงไหนดี เราลงตรงนี้แล้วคู่ต่อสู้เราจะลงตรงไหนได้อีกบ้าง ควรจะคิดข้าม shot ไปอีกกี่หมากล่วงหน้า... ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หมากล้อมเป็นเกมส์ที่มีความลุ่มลึกและมีทางเลือกมากมาย ต้องใช้การศึกษาและฝึกฝนที่ยาวนาน แม้แต่ super computer ใดๆ ในโลก ก็ยังไม่สามารถเอาชนะ pro โกะระดับสูงแบบ 9 ดั้งได้เลยนะครับ (แบบไม่ต่อหมาก หรือ Handicap) #บทความอันนี้เขียนไว้เมื่อ 3 ปีก่อน แต่ตอนนี้ AlphaGo เอาชนะมนุษย์ได้ซะแล้ว เร็วกว่าที่คิดแบบไม่น่าเชื่อ (ตอนแรกในวงการฯ ประมาณการกันเอาไว้ว่าอย่างน้อยน่าจะซัก 10 ปี แต่ตอนนี้คอมฯ มันเริ่มคิดเอง ฝึกซ้อมเองได้แบบเก่งมากๆ แล้วนะครับ หึหึหึ น่ากลัวชิบ!)  

http://blog.kosatestudio.com/2016/03/12/how-alphago-work/


เพราะฉะนั้น เทียบกับการเทรดแล้ว ถ้าเราเก่งจริงๆ และไม่ประมาท เราก็ไม่จำเป็นต้องกลัวพวก HFT หรือ Algorithms ถูกมั๊ยล่ะคับ ยังไงสมองของคนเราก็ย่อมดีกว่าคอมพิวเตอร์อยู่แล้วโดยเฉพาะเรื่องการวางกลยุทธ์แบบซับซ้อน (และถ้าไม่มีเรื่องอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง + เราสามารถควบคุม Mental ตัวเองได้ดี) 
#อย่างที่บอกตอนนี้ HFT แทบจะกลายเป็นจักรกลสังหารอยู่ล่ะ อย่าประมาทล่ะกัน หึหึหึ

ในเกมส์ของการเทรดนั้น มันก็วิ่งอยู่บนกฎของความน่าจะเป็นต่างๆ นานา มีทางเลือกที่จะเกิดขึ้นมากมายหลายอย่าง ด้วยปัจจัยแวดล้อมสารพัดทั้งภายในและภายนอกตัวเรา ซึ่งในตอนที่เข้าตลาดมาใหม่ๆ ประสบการณ์ยังไม่มากมาย เราก็จะดูไม่ออกหรอกครับ ว่ามันจะมีเหตุการณ์อาไรเกิดขึ้นได้บ้าง แต่พออยู่ (รอด) ไปได้นานๆ เข้า เราก็จะเริ่มซึบซับมันเข้าไปทีละนิด ทีละนิด โดยปกติแล้วเหตุการณ์มันก็ต้องมีการเกิดขึ้นซ้ำๆ กันอยู่แล้วครับเป็นธรรมดา เกิดกลายเป็น รูปแบบ pattern ต่างๆ มากมาย ซึ่งต้องใช้เวลาในการซึมซับเข้าไปเรื่อยๆ จนถึงวันที่เราสามารถที่จะสร้างสรรค์วิถีแห่งการอยู่รอดและทำกำไรได้

สุดท้ายนี้ ผมเชื่อในกฎของการเรียนรู้และทำซ้ำเสมอครับ

"สิ่งที่ยากๆ ทำบ่อยๆ ก็จะกลายเป็นง่าย สิ่งที่ง่ายๆ ทำบ่อยๆ ก็จะกลายเป็นความเชี่ยวชาญ"


จึงขอจบบทความนี้ด้วยคำว่า “วิริยะ”
... ความเพียรชนะทุกสิ่ง ...


(Rerun)

https://www.facebook.com/PleaseMindYourTFEX/photos/a.341305102579369.81511.221405844569296/568467033196507/?type=3&theater

https://www.facebook.com/crazygoatbuster/



Tuesday 26 July 2016

ภาค Reborn - "The Armageddon trader!!!" #11



Method คือ อะไร#2

โดยปกติ ผมแบ่ง Method แบบโบราณบ้านๆ ออกเป็น 2 สายหลักแค่นั้น คือ


1) สาย Fundamental หรือพวกเน้นวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เพื่อประเมินหามูลค่าที่เหมาะสมของ Product ตัวนั้น หรือพวก Value Investor นั่นเอง ยกตัวอย่างก็ Warren Buffet  #ที่เหลือ Google

2) สาย Technical หรือพวกสายกราฟ สายข้อมูลตัวเลข คือ เอาข้อมูลสถิติมา plot เป็นกราฟ สร้างเป็นสูตรเป็นสมการ การจับ pattern บลาๆๆ แล้ววิเคราะห์ออกมาเป็นรูปแบบความน่าจะเป็นต่างๆ แล้วก็เข้าเทรดไปตามที่เราสร้างเงื่อนไขมันขึ้นมา  #ที่เหลือ Google#จบนะ #มีเยอะเลยอ่านชาตินึงก็ไม่หมด

ซึ่งในแต่ละสาย ถ้าจะเอาให้ลึกจริงๆ มันก็มีความสลับซ้ำซ้อนพอสมควร และมันก็พัฒนาแตกแขนงไปไกลมากๆ แล้วด้วย แต่ละสายแต่ละเรื่องก็คงไม่มีใครรู้ลึกซึ้งไปหมดทุกอย่างได้หรอก เอาเป็นว่าไม่พูดถึงล่ะกัน (เพราะตรูก็ไม่รู้เรื่อง 555) #ส่วนใครจะใช้สาย Mixed ก็แล้วแต่ไม่ว่ากัน


จริงๆ แล้วประเด็นในเรื่องของ Method ของผม ก็คือ 

  • ในตอนที่แล้วผมเกริ่นไว้ว่า ในช่วงของการเริ่มต้น ปัญหาคือเราจะรู้ได้ไงว่าอะไรคือ odd ของตัวเรา แล้วเราจะได้มันมาได้ยังไง + ได้มาแล้วต้องสามารถที่จะทำมันซ้ำได้อีกเรื่อยๆ นั่นก็คือ ความสม่ำเสมอต่อเนื่องด้วย
  • ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อให้เรื่องของการฝึกฝน เพื่อให้ได้ skill แต่ละอย่างมา คือ ผมไม่เชื่อตัวเองหรอกว่า ถ้าผมอ่านหนังสือ Buffet จบซัก 10-20 เล่ม ผมจะกลายเป็น Buffet ได้ หรือ ถ้าผมไปลงเรียนสัมมนาคอร์สละกี่หมื่นกี่แสนก็ตาม แล้วกลับบ้านมาผมจะเก่งได้เหมือนแบบท่านวิทยากร คือ ผมอาจจะได้แนวคิด หรือ concept แต่ผมคงยังไม่ได้ skill แน่นอน (อ่านหนังสือว่ายน้ำ 100 เล่ม เราก็ยังว่ายน้ำไม่เป็นจริงๆ หรอก ถ้าเรายังไม่ได้ลงสระจริง พอลงไปแล้วก็ไม่ใช่จะว่ายเก่งเลยนะ ต้องฝึกกันอีกนานอ่ะ กว่าจะลงแข่งกับเค้าได้ และถึงลงแข่งได้ก็ไม่ได้แปลว่าจะชนะนะ 555)
  • สรุป ก็คือ เราจะใช้วิธีการอะไรก็ไม่สำคัญหรอก มันสำคัญที่ว่าในช่วงเริ่มต้นนั้น เราจะฝึก skill ในวิธีการที่เราจะเลือกใช้ได้ยังไง หรือ ด้วยวิธีอะไร ให้ได้ตลอดรอดฝั่งจนกว่าจะเก่งตะหากล่ะ 





ภาค Reborn - "The Armageddon trader!!!" #10



#3M ในทรรศนะของข้าพเจ้า

มาเริ่มที่ M แรกกัน ซึ่งก็คือ Method
ถ้าดูจากรูปแล้วจะเห็นว่ามันเล็กมากจนแทบอ่านไม่ออกเลย แสดงให้เห็นว่ามันช่างสำคัญอาไรเยี่ยงนี้ 555


Method คือ อะไร#1
พูดแบบบ้านๆ ก็คือ วิธีการเลือก product ที่จะนำมาเทรด, วิธีการหาราคาที่จะเข้าซื้อ (Entry) และขาย (Exit) การหาจุดเข้า-ออก หรือวิธีการอาไรก็ได้นั่นแหละที่มันจะทำให้เราได้กำไร (จริงๆ มันก็ซื้อถูกขายแพงนั่นแหละ หรือ จะขายแพงก่อนแล้วค่อยกลับมาซื้อถูกก็ได้ 555)

แต่สิ่งที่สำคัญในการจะเลือกใช้วิธีการอะไร มันต้องเป็นสิ่งที่เรา (มั่นใจว่า) เก่งกว่าชาวบ้าน เรียกให้หรู คือ มีแต้มต่อ ("odd") นั่นเอง เราจะใช้วิธีการอะไรก็ได้ตั้งแต่ โยนหัวก้อย ปาเป้า ปั่นแปะ ใช้โหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ การอ่านจิตคน บลาๆๆ ไปจนถึง การดูจุดดับบนดวงอาทิตย์เลยก็ได้ 555 จะใช้อะไรก็ได้จริงๆ (ปัญหาคือ ในช่วงของการเริ่มต้น เราจะรู้ได้ยังไงว่าคุณทำอาไรแล้วเก่งกว่าชาวบ้านเค้าล่ะ -*-)


และเนื่องจากว่า product ที่เราเลือกมาเทรดทุกอย่างมันก็มีแค่ราคาขึ้นกับลง คือ ไม่ว่าเราจะใช้วิธีการอะไร มันก็มีโอกาสมากๆ เลยที่มันจะถูก (ซึ่งตอนที่เราเริ่มต้นเทรด เราก็ไม่รู้หรอกว่าวิธีการที่คุณนำเอามาใช้นั่นอ่ะ มันใช้ได้จริงๆ หรือ มันแค่ฟลุ๊คเดาทางถูก ใช่ป่ะล่ะ -*-) เพราะฉะนั้น นอกจาก "odd" แล้ว สิ่งที่สำคัญอีกอย่างก็คือ วิธีการที่เรามีแต้มต่อ มันควรจะต้องใช้ได้สม่ำเสมอด้วย ถูกป่ะ (แต่ปัญหาก็คือ ในช่วงของการเริ่มต้น กว่าเราจะรู้ได้ว่าวิธีการที่เราใช้อยู่มันใช้ได้อย่างสม่ำเสมอมันต้องใช้เวลานานแค่ไหนล่ะ -*-)


ปล. ข้างบนนั่น แม้ว่าผมจะเขียนเรื่อง Method แต่ก็อธิบายด้วย Mindset ของผมนะครับ


https://www.facebook.com/crazygoatbuster/


ตัวอย่างของปรากฏการณ์ Self-fulfilling prophecy ที่เห็นได้ชัดที่สุด คือ ทฤษฎีจุดดับบนดวงอาทิตย์ (sunspot theory) ที่ระบุว่าการขึ้นลงของเศรษฐกิจว่ามีความสัมพันธ์กับการสังเกตเห็นจุดดับบนดวงอาทิตย์ โดยอธิบายว่าจุดดับบนดวงอาทิตย์มีผลกระทบต่อสภาวะอากาศ ซึ่งจะทำให้ผลผลิตทางการเกษตรเปลี่ยนแปลงในที่สุด
ในช่วงระยะหนึ่งนั้น ทฤษฎีจุดดับบนดวงอาทิตย์มีผู้เชื่อถือจำนวนมาก จนทำให้ดัชนีตลาดหุ้นเกิดความผันผวนเพราะการสังเกตเห็นจุดดับดวงอาทิตย์ แม้ว่าความจริงแล้วระดับผลผลิตการเกษตรจะมิได้เปลี่ยนแปลงไปก็ตาม อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์เกือบทั้งหมดเห็นตรงกันว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศนั้นเกิดขึ้นเพราะมนุษย์เป็นผู้กระทำ มิได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ทฤษฎีจุดดับดวงอาทิตย์จึงดูไม่ได้มีความสมเหตุสมผลนักในปัจจุบัน

Monday 25 July 2016

ภาค Reborn - "The Armageddon trader!!!" #9



เราเกริ่นกันมาพอสมควร ว่าเกมส์การเทรดนั้นเป็นอย่างไร โดยผมจะเน้นที่ concept และการสร้างภาพในหัวก่อน คือ การรักษาเงินต้น แล้วจึงค่อยนำกำไรไปต่อยอด โดยจะเน้นที่ MM และ Portfolio structure เป็นหลัก แต่สำหรับท่านที่เพิ่งเริ่มต้นก็จะงงๆ กับคำศัพท์แปลกๆ อีกว่า MM คือ อะไร แล้ว Portfolio structure ล่ะ คือ อะไร
คือผมก็พวกบ้านๆ อ่ะนะ อ่านมาเยอะก็จริงแต่ก็จำอะไรไม่ได้ค่อยได้หรอก เป็นพวกความจำสั้น และไม่ชอบอาไรที่มันยากๆ ด้วย 555  เพราะฉะนั้นเรื่องทฤษฎีคำศัพท์อะไรเป๊ะๆ ยากๆ ก็คงไม่เน้นมาก อาจจะเขียนผิดเขียนถูกไปก็ต้องขออภัย (อย่าด่ากันนะ) แต่ผมจะเน้นเขียนจากความเข้าใจและประสบการณ์ตรงของผมล่ะกัน

แต่เพื่อให้เข้าใจตรงกันกับชาวบ้านก็เลยต้องไปพูดถึงทฤษฎีที่เป็นสากลกันบ้าง
จากรูปด้านบนซ้ายมือ โดยปกติ เค้าว่ากันว่า แก่นของเทรดประกอบไปด้วย 3 ส่วนหรือ 3M คือ
1) Method (Entry & Exit) หรือ "วิธีการ" มีความสำคัญเพียง 10% เท่านั้น
2) Money Management (MM) หรือ "การบริหารเงินหน้าตัก" มีความสำคัญ 30%
3) Mental (Psychology) หรือ "จิตใจ" สำคัญมากที่สุดถึง 60%

เปรียบเทียบกับอีกรูปนึงด้านขวาอันนี้คนไม่นิยมเท่าไหร่ แต่ผมชอบรูปนี้มากกว่านะ คือ Mental และ MM สำคัญมากที่สุดแยกกันไม่ออกผสมกันเหมือนตังเม ซึ่งการเป็นฐานสำคัญที่สุดของการเทรด ในขณะที่กลยุทธ์หรือวิธีการ Exit สำคัญรองลงมา สุดท้ายแล้ววิธีการ Entry ที่คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกันมากมาย กลับมีความสำคัญน้อยที่สุด

โดยรายละเอียดของแต่ละเรื่องจะค่อยๆ อธิบายให้บทความต่อๆ ไปล่ะกันนะครับ


https://www.facebook.com/crazygoatbuster/

Friday 22 July 2016

ภาค Reborn - "จงออกนอกนอก Comfort Zone - Go Run!!!" #19




วันนี้ต้องออกไปวิ่งหลังจากที่ไม่ได้วิ่งมานาน เพราะว่าวันอาทิตย์นี้จะถึงงานวิ่งอีกแล้ว
หลังจากวิ่งเสร็จ ก็ว่าจะมาเขียน blog เรื่องการเทรดต่อ แต่ปรากฎว่าเพลีย ง่วงนอนสุดๆ
เลยไม่เอาล่ะ เขียนเรื่องเบาๆ แทนล่ะกัน

สาเหตุที่ช่วง 1-2 เดือนนี้ไปวิ่งน้อยลงก็เนื่องจากหลักๆ คือ เข้าหน้าฝนแล้ว จะไปวิ่งตากฝนก็กระไรอยู่

สาเหตุอีกอย่าง คือ มีเพื่อนของคุณภิริป่วยเป็นมะเร็ง ก็เลยได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยือนให้กำลังใจ
ก็ไปบ่อยพอสมควรเท่าที่โอกาสจะอำนวย แต่สุดท้ายแล้วเค้าก็จากไป ... .... ...
งานพิธีศพเพิ่งแล้วเสร็จไปไม่นาน ... .... ...

ปีที่แล้วก็มีเพื่อนของคุณภิริอีกคนนึงป่วยเป็นมะเร็งเหมือนกัน เค้าจากไปด้วยเวลาอันรวดเร็วเช่นกัน
ทั้ง 2 คนมีลูกที่ยังเล็กมากๆ ด้วยกันทั้งคู่ และทั้งคู่เพิ่งอายุ 3X เท่านั้น ... ... ...

แม่ของแฟนน้องสาว ก็ป่วยเป็นมะเร็งเหมือนกันที่ไขกระดูกแล้วลามขึ้นสมอง อายุเกือบ 50 ... ... ...

ก็ไม่รู้จะเขียนอะไร คือ เราไม่รู้จริงๆ หรอกว่าเราจะมีชีวิตได้อยู่อีกนานแค่ไหน
ทุกคนก็คงไม่คิดหรอกว่าตัวเองจะเป็นโรคร้าย หรือต้องพบเจอเรื่องอะไรแบบนี้กับตัวเอง หรือครอบครัว


ก็ขอให้ทุกท่านจงได้อย่าประมาทในการชีวิต จงเร่งทำความเพียรเทอญ ... ... ....



Thursday 21 July 2016

ภาค Reborn - "The Armageddon trader!!!" #8



How to utilize “the unbeatable legion”
Final Level!!!
_______________________________________________________
จุดประสงค์ของการเขียน page (Please Mind Your TFEX) นี้ก็เพื่อ Financial Freedom นะครับ (ดูได้จากรูป cover ของ page ที่วาดเอาไว้ หุหุ) ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เราคิดวางแผนกันมาก็เพื่อให้ไปถึงยังจุดๆ นั้นให้จงได้ ใครจะว่ายาก หรือเป็นไปไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปสนใจครับ ขอให้เรา focus ในลู่วิ่งของเราก็พอ

Key ของการเทรดหรือการลงทุนใดๆ ก็ตาม แก่นที่แท้จริงแล้ว คือ Risk management ครับไม่ใช่ Maximize profit => เราต้องอยู่รอดในสนามรบให้ได้ก่อนจนได้ skill ความรู้ความสามารถจนเชี่ยวชาญ เมื่อเรามีความรู้และประสบการณ์เหนือกว่าเกมส์ที่เราเล่นแล้ว เราจึงจะสามารถควบคุม (control) ภาพรวมทั้งหมดไว้ได้ หลังจากนั้นแล้วจึงค่อยๆ เก็บเกี่ยวดอกผลแห่งความพยายามนั้นออกมา

จากรูปด้านบนเป็นการจำลองให้เห็นเส้นทางการเติบโตของ port เรานะครับ ก็มีแพ้มีชนะ คละเคล้ากันไป ไม่มีใครสามารถที่จะชนะได้ตลอดเวลา เราอาจจะแพ้ในการสมรภูมิรบย่อยๆ แต่โดยรวมแล้วเราจะเป็นผู้ชนะในสงครามได้ ถ้าเรามีการวางแผนและกลยุทธ์ในการรบที่ดีเพียงพอ ดังนั้นเราจึงต้อง design โครงสร้างของ port ให้สามารถรองรับการผิดพลาดได้แบบ unlimit เพราะว่าขนาดผิดทางไปเรื่อยๆ เรายังทนได้ไม่จำกัด ถ้าเกิดวันไหนมันถูกทางหรือเข้าทาง Model เราขึ้นมา วันนั้นก็จะเทียบได้กับการตี Home run หรือ jackpot แตกครับ ซึ่ง Model ที่ผมวาดรูปให้ดูเอาไว้เนี่ย แค่ตี Home run โดนทีเดียวก็ถึงจุดที่เป็น Financial Freedom แบบพอเพียงแล้วนะครับ 


กล่าวคือ เมื่อสายกองทัพใดๆ ของเราสามารถรบชนะไปเรื่อยๆ ผสานกับ MM ที่ถูกต้องแล้ว การเติบโตของ port เราจะกลายเป็นแบบ geometric growth คือ รูปกราฟจะพุ่งเหมือนจรวดทยานสู่อวกาศ (เหมือนรูปจรวดใน cover ของ page อีกเช่นกัน^ ^) หลังจากนั้นก็ถึงเวลาที่เจ้ามือจะไม่ชอบขี้หน้าเราแล้ว นั่นก็คือ เวลาที่จะ cash out เอาเงินออกจากส่วนของ High risk กลับไปสู่ส่วนของ Low risk ที่เป็น Real asset หรือสินทรัพย์ที่ปลอดภัยในรูปแบบอื่นๆ ที่ uncorrelated กัน เพื่อกระจายความเสี่ยงให้ลดลงอีก ซึ่งเจ้าสินทรัพย์เหล่านี้ก็จะช่วย generate cashflow ให้เราเพิ่มอีกแรง และยังช่วยเป็น Back up ให้เราอีกชั้นหากเกิดการผิดพลาดใดๆ ขึ้น => หลังจากนั้นค่อยมาพิจารณาว่าเราจะเอา return ที่ได้จากกองทัพสายอื่นๆ มา reinvest กลับเข้าไปในกองกำลังไร้พ่ายกองเดิม หรือว่าจะตั้งเป็นกองกำลังพ่ายไร้กองใหม่ขึ้นมาใหม่เพื่อไปลงทุนใน product ใหม่แบบที่เป็น risk free หรือไม่มีต้นทุนแล้วก็ได้ครับ => ผมพยายามวาดภาพเพื่อสื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น หวังว่าพอจะเป็น idea สำหรับการนำไปต่อยอดในเหมาะกับสไตล์และจริตของแต่ละท่านนะครับ
_______________________________________________________
ย้อนกลับไปตอนที่เริ่มบทความมหากาพย์แห่งการเทรด ซึ่งผมได้ตั้งคำถามไว้ว่า “ก่อนจะเริ่มเล่นเกมส์นี้ ท่านมีภาพแห่งความสำเร็จในหัวแล้วหรือยัง ว่าจะเล่นเกมส์ๆ นี้ให้ชนะได้อย่างไร” => ทุกๆ สิ่งเกิดจากความคิดครับ แต่จะสำเร็จหรือไม่อยู่ที่การลงมือทำ ความมุ่งมั่นพยายาม ไม่ยอมแพ้ => ผมขึ้นโครงร่างภาพแห่งความสำเร็จให้สำหรับท่านที่เพิ่งเริ่มต้นเดินทางแล้ว หน้าที่ที่เหลือของท่าน คือ ต้องออกไปหาความรู้ หมั่นฝึกฝน และสะสมประสบการณ์ครับ แล้วซักวันหนี่งท่านก็จะได้ถึงจุดที่เรียกว่า Financial Freedom อย่างที่ท่านปรารถนาครับ => เมื่อไปถึงจุดๆ นั้นแล้ว นอกจากท่านจะสามารถช่วยเหลือครอบครัว สังคม เพื่อนฝูง คนรอบด้านได้ตามกำลังที่ท่านมีแล้ว ผลพลอยได้จากการเป็นอิสรภาพทางการเงินที่ยอดเยี่ยมที่สุดอีกอย่าง ก็คือ “เวลา” ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตมนุษย์ของเรา
เมื่อท่านพ้นจากวิถีแห่งโลกที่ต้องดิ้นรนทำมาหากินตามแบบฉบับ “โลกียะ” แล้ว ต่อไปก็ท่านก็สามารถที่จะเดินทางไปต่อยังส่วน “โลกุตตระ” ได้โดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังอีกต่อไป โดยสถานะ Financial Freedom ของท่านก็จะทำหน้าที่เหมือนกองทัพไร้พ่ายตอนที่เราใช้ growth port นั่นเอง... ลักษณะโครงสร้างการเดินทางและการเติบโตแบบนี้ admin หวังเป็นอย่างยิ่งว่าน่าจะเป็นประโยชน์และเป็นที่พึงพอใจสำหรับใครหลายๆ ท่านนะครับ ^ ^
_______________________________________________________
การเทรดเนี่ยเป็นมหากาพย์จริงๆ ด้วยครับ นี่ขนาดผมยังไม่ได้แตะเรื่อง 3M พื้นฐานเลยตั้งแต่ Method, MM, Mental แค่เกริ่นๆ ยังยาวขนาดนี้... ว่าแล้วก็จบภาคแรกเลยดีกว่า admin ของพักก่อนล่ะกันนะครับ เขียนเรื่องนึงใช้เวลานานมากเลย โดยเฉพาะส่วนการวาดภาพ หุหุหุ ไม่รู้จะได้กลับมาเริ่มเขียนอีกรอบเมื่อไหร่นะครับ ขอให้ทุกท่านโชคดีในการเทรดและประสบความสำเร็จในเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ทุกท่านครับ...

จบมหากาพย์แห่งการเทรดภาคปฐมบท: ว่าด้วยกลศึกแห่งการอยู่รอดและเติบโต


(Rerun)
https://www.facebook.com/PleaseMindYourTFEX/photos/a.341305102579369.81511.221405844569296/579683132074897/?type=3&theater



... page เก่าเขียนค้างไว้ที่แค่นี้นะครับตั้งแต่ปี 2013 กินบุญเก่าหมดล่ะ ได้ฤกษ์ต้องเขียนต่อซะที 555 ...




Wednesday 20 July 2016

ภาค Reborn - "The Armageddon trader!!!" #7



How to utilize “the unbeatable legion”
Level 3 & Overview!!!
_____________________________________________________

ต่อจากตอนที่แล้ว...
กองทัพไร้พ่ายของเราซึ่งเป็นฐานทัพใหญ่ พอรบชนะก็จับเชลยมาตั้งกองทัพใหม่เป็นชั้นๆ โดย Level 1 นั้นจะเรียกว่ากองทัพ “Shield” ต่อมาก็เป็น Level 2 เรียกว่า กองทัพ “Troop” สำหรับวันนี้เราจะมาต่อกันใน Level 3 ซึ่งเป็น Level สุดท้ายล่ะ ซึ่งเราจะเรียกกองทัพนี้ว่า กองทัพ “Stratagem” หรือให้ง่ายก็กองทัพ “Ultimate“ ก็ได้ครับ (ความจริง ขี้เกียจวาดรูปล่ะ 555 ก็เลยวาดรูปคร่าวๆ ให้พอเห็นเป็น idea ในการต่อยอด ถึงวิธีการทำให้ portfolio ของเราเติบโตได้อย่างไรจากกองทัพไร้พ่ายแค่กองทัพเดียวเท่านั้นเองครับ)

เรื่องต่อไปก็จะเป็นการยกตัวอย่างคร่าวๆ สำหรับการใช้ leverage ให้เหมาะสมกับแต่ละกองทัพตาม Level ของความ aggressive ของกองทัพนั้นๆ นะครับ =>

กองทัพที่ 1: “กองทัพไร้พ่าย” (The Unbeatable Legion) กองทัพนี้เป็นฐานทัพใหญ่ของเราและเป็นกองทัพอมตะ จึงเน้นกลยุทธ์แบบป้องกันเต็มรูปแบบ super defensive เพราะฉะนั้นในกองทัพนี้จะไม่มีการใช้ leverage ใดๆ ทั้งสิ้นครับ ซึ่งถูกต้องตามหลักการที่ว่า เราต้องรักษาเงินต้นยิ่งชีพก่อน แล้วค่อยเอากำไรไปต่อยอดบน leverage นะครับ

กองทัพที่ 2: “กองทัพ Shield” สำหรับกองทัพนี้เติบโตมาจากเชลย (กำไร) จากกองทัพไร้พ่าย เพราะฉะนั้นเราจะเริ่มใช้ leverage ตั้งแต่กองทัพ level นี้ขึ้นไป ซึ่งกลยุทธ์ของกองทัพนี้เป็นแบบ Defensive & Aggressive คือ กึ่งรุกกึ่งรับ ดังนั้น Leverage ที่เหมาะสมสำหรับกองทัพนี้ คือ 1:2 ครับ สูงสุดได้ไม่เกิน 1:3 (เราใช้ภาพของนักรบแบบโบราณหน่อย จากเรื่อง Troy เป็นตัวแทนของกองทัพนี้ครับ)

กองทัพที่ 3: “กองทัพ Troop” กองทัพนี้ก็เติบโตมาจากเชลย หรือกำไร ของกองทัพ Shield อีกที ดังนั้นเราสามารถที่จะเสี่ยงได้มากขึ้นครับ โดยกลยุทธ์ของกองทัพนี้เป็นแบบ aggressive หรือการบุกจู่โจมข้าศึกแบบเต็มรูปแบบ ซึ่งการรบแต่ละครั้งถ้าเราชนะเนี่ย จะจับเชลยได้มาเป็นฝูงเลยครับ ในขณะเดียวกันถ้าแพ้แบบติดๆ กันหลายๆ ครั้ง กองทัพอาจจะเสียหายได้ 50-80% เลยทีเดียวครับ สำหรับ Leverage ที่ให้ไว้สำหรับกองทัพ Troop จะอยู่ที่ประมาณ 1:5 ครับ Maximum 1:10 ค่อนข้างอันตรายมากเลยทีเดียว จอมทัพผู้บัญชาการกองทัพนี้ จึงควรเชี่ยวชาญด้านการรบชั้นสูงแล้วทั้งเรื่องของ Method, MM และ Mental ในระดับสูงครับ (เราใช้ภาพของหุ่นยนต์รบแนวล้างผลาญจากเรื่อง Terminator มาเป็นตัวแทนของกองทัพนี้ครับ)

กองทัพที่ 4: “กองทัพ Stratagem” หรือจะเรียกว่ากองทัพ “Ultimate” ก็ได้ครับตามชื่อของกลยุทธ์ของกองทัพนี้ เรียกได้ว่าเป็นท่าไม้ตายของกองทัพของเราก็ว่าได้ครับ เน้นแนวระเบิดพลีชีพครับ ถ้าข้าศึกไม่ตายเรียบ เราก็ตายเองครับ 555 เหมาะสำหรับท่านที่ต้องการทดลองวิธีการใหม่ๆ, model ประหลาดๆ, model มหาประลัย อะไรที่ยังไม่แน่ใจ แต่อยากทดลองโดยใช้เงินจริง ก็ให้ท่านมาใช้บริการที่กองทัพนี้ครับ => Leverage ที่เหมาะสมก็ตั้งแต่ 1:XX – 1:XXX ครับ (เราใช้รูปของ HULK เป็นตัวแทนของกองทัพเลยครับ หุหุ) ท่านอาจจะใช้กองทัพนี้ไปเริ่มทำการทดลองเทรด option หรือ FX โดยเริ่มเขียน EA เป็น robot แล้วบินไปเปิด port เมืองนอก วางไข่ robot นั้นกระจายๆ ทิ้งเอาไว้ แล้วก็ทำหน้าที่คอย monitor พอครบหนึ่งปีก็บินไปถอนเงินเอาออกมาเที่ยว shopping ประเทศนั้นๆ อาไรแบบนี้เป็นต้นครับ

ขอต่ออีกหน่อยในรื่องของการ growth ของ portfolio นั้นก็แล้วแต่ความคิดสร้างสรรค์และสไตล์ รวมถึงระดับความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ด้วยครับ ถ้าเราจะเริ่มด้วยวิธีแบบ conservative ก่อน คือเน้นการเติบโตแบบเน้นแนวนอน (Horizontal growth) โดยเน้นให้มีกองทัพ Shield เยอะๆ ล้อมรอบกองทัพไร้พ่ายๆ เยอะๆ ก่อนซัก 5 กอง 10 กอง แล้วค่อยๆ ทยอยไปเน้นการเติบโตแนวดิ่งหรือแนวลึก (Vertical growth) ในลำดับต่อไป ซึ่งใครอยากจะต่อลึกลงไปกี่ชั้นๆ อะไรยังไง ก็แล้วแต่จริตความชอบของท่านแล้วล่ะครับ

หลายๆ ท่านอาจจะเห็นว่าผมเขียนเรื่องอะไรกันเนี่ย เสี่ยงเกินไปรึป่าว... แต่ท่านอย่าลืมว่า เงินต้นของท่านนั้นจริงๆ แล้วอยู่ในส่วนของกองทัพไร้พ่ายเท่านั้น มันไม่อะไรต้องน่าเป็นห่วงแล้วถูกมั๊ยล่ะครับ... ที่เหลือมันเป็นเรื่องของการต่อยอดออกไปเท่านั้นเองครับ... หวังว่าจะเป็น idea ในการต่อยอดสำหรับกลยุทธ์การวางแผน portfolio growth นะครับ

...โปรดติดตามตอนต่อไป...


(Rerun)
https://www.facebook.com/PleaseMindYourTFEX/photos/a.341305102579369.81511.221405844569296/576396959070181/?type=3&theater

https://www.facebook.com/crazygoatbuster/




Tuesday 19 July 2016

ภาค Reborn - "The Armageddon trader!!!" #6



How to utilize “the unbeatable legion
วิธีเข็นกองทัพไร้พ่ายเอาไปใช้งาน : Level 2 => เอากองทัพ Shield ไปลุยต่อ!!!
______________________________________________________________

ตอนจากตอนที่แล้ว กองทัพไร้พ่ายของเราซึ่งเป็นฐานทัพใหญ่ ก็ยังคง run model ไร้พ่ายของมันต่อไป คอยจับเชลยให้เราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยยิ่งเราอยู่ในสงครามนานเท่าไหร่ skill ในการจับเชลยของเราย่อมเก่งขึ้นเรื่อยๆ ตามกฎของการทำซ้ำ (โดยมีข้อแม้ว่าเราห้ามตายไปซะก่อน) จากนั้นเราก็จับเอาเชลยพวกนั้นมาปั้นเป็นกองทัพใหม่ โดยเราจะเรียกกองทัพนี้ว่า "กองทัพ Shield" เพื่อเอาไปลุยต่อครับ

สำหรับกองทัพ shield นั้น จะใช้กลยุทธ์กึ่งรับ กึ่งรุก คือ aggressive มากขึ้นไม่ได้เอาแต่ตั้งรับอย่างเดียวแล้ว ดังนั้นเวลาเราเอากองทัพ shield ไปรบจะเกิดผลลัพธ์ 2 แบบก็คือ รบแพ้ กับ รบชนะ (ถ้าเสมอตัวจะไม่พูดถึงครับ เพราะมีค่าเท่าเดิม หุหุ)

1) กรณีรบแพ้ เวลาเสียหาย เราก็อาจจะเสียหายประมาณซัก 1 ใน 3 ส่วน หรือ 2 ใน 3 ส่วนครับ ยังไม่ถึงกะตายหมดยกรังครับ หุหุ เพราะเรายังไม่ได้ดำเนินกลยุทธ์การบุกโจมตีเต็มรูปแบบ => เวลาที่ไปรบแล้วแพ้ติดๆ กันจนกองกำลังหายไป 60-70% แล้ว ให้เราทำการหยุดทันทีครับ จากนั้นให้เราดึงกองทัพ shield กองนั้นๆ กลับมาตั้งหลักใหม่ก่อน ทบทวนแผนการรบ ข้อผิดพลาดต่างๆ ปรับปรุงแก้ไขใหม่เสร็จแล้วค่อยดันออกไปสู้รบใหม่ อย่าดันทุรังรบไปเรื่อยๆ จนตายหมดยกรังนะครับ เสียของหมด อิอิ (ส่วนจะเติมทหารกลับเข้าไปให้เต็ม 100% หรือไม่ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของจอมทัพครับ ถ้าจะเติมก็ให้เอามาจากเชลยที่กองทัพไร้พ่ายจับมาได้เรื่อยๆ)

2) กรณีรบชนะ เราก็จะได้เชลยมาเพิ่มอีกครับ หุหุ สนุกล่ะงานเนี่ยะ => พอจับได้มากๆ เข้าก็เอาเชลยเหล่านั้นมาปั้นเป็นกองทัพกองใหม่อีก คราวนี้เราจะให้ชื่อว่า กองทัพ Troop => กองทัพที่ตั้งใหม่นี้ล่ะ ที่เราจะเอาไว้จู่โจมข้าศึกแบบจริงจัง เรียกว่า aggressive ล่ะ เน้นการบุกตลุยไปเลยครับ

จะสังเกตได้ว่า การขยายตัวของกองทัพเราจะเป็นการแตกตัวออกเป็นกองกำลังย่อยๆ แล้วแยกกันบุกโจมตีนะครับ โดยมีกองกำลังไร้พ่ายเป็น back up แบบแน่นปึ๊ก ซึ่งจะทำให้เวลาออกรบ เราไม่ต้องคอยมาห่วงหน้า พะวงหลัง และสามารถดำเนินกลยุทธ์สำหรับแต่ละกองทัพตามที่เราวางแผนมาได้อย่างสบายใจครับ

Next Level ต่อคราวหน้าครับ...
_________________________________________________
____________
“In trading you have to be defensive and aggressive at the same time. If you are not aggressive, you are not going to make money, And if you are not defensive , you are not going to keep money.” Ray Dalio


https://www.facebook.com/crazygoatbuster/



Monday 18 July 2016

ภาค Reborn - "The Armageddon trader!!!" #5



อิทธิบาท 4 
บาทฐานแห่งความสำเร็จ 4 ประการ
_______________________________________________________________

เมื่อก่อนมัวแต่จะไปอ่านหนังสือฝรั่งว่าคนเราจะ success ได้ยังไง พออ่านไปมากๆ ก็พบได้ว่าสิ่งที่จะทำให้คนเราประสบความสำเร็จได้นั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ทรงตรัสสอนไว้หมดแล้ว พระธรรมคำสอนของท่านเป็นอกาลิโก คือ ไม่จำกัดกาล (ท่านที่หาคำตอบใดๆ ในชีวิตยังไม่เจอ ขอให้ศึกษาและค้นหาในพระพุทธศาสนาครับ ด้านในนั้นมีคำตอบของทุกคำถาม)

อิทธิบาท 4 ธรรมแห่งความสำเร็จ 4 ประการประกอบไปด้วย
1. ฉันทะ => ทำในสิ่งที่รัก รักในสิ่งที่ทำ และทำมันอย่างดีที่สุด
2. วิริยะ => ความเพียร ชนะทุกสิ่ง
3. จิตตะ => มีสมาธิ เอาใจใส่ ใส่ใจ รับผิดชอบ
4. วิมังสา => การใช้ปัญญาไตร่ตรอง สอดส่องในเหตุและผลแห่งความสำเร็จ เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ให้ลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไปตลอดเวลา

มีคำพูดที่ว่า ไม่ใช่ว่าทุกคนสามารถที่จะเป็น trader ได้ ก็เพราะว่า ไม่ผ่านด่านแรกตั้งแต่คำว่า ฉันทะ นี่หล่ะคับ

=> การเป็น Trader ที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะถ้าเป็นกันง่ายๆ ก็จะไม่มีคำพูดที่ว่าในตลาดคนส่วนใหญ่ 80-90% นั้นขาดทุน ถ้าเราไม่รักมันจริงๆ เราก็จะไม่ทุ่มเทให้กับมันอย่างสุดกำลัง และในระหว่างทางเราก็ต้องเจออุปสรรคแน่ๆ คับ เยอะด้วย เรียกว่าเลือดสาดกันเลยทีเดียว มีสิทธิ์ที่จะถอดใจยอมแพ้ ล้มเลิกกลางทางไปได้ง่ายๆ ครับ ถ้าใจไม่รักจริง => เราเคยถามตัวเองจริงๆ มั๊ยครับว่า เทรดเพราะใจรัก หรือ เพราะอยากได้เงิน อยากรวย (เร็วๆ) แค่นั้น

ท่านที่อยากจะเป็น Trader ที่ประสบความสำเร็จไม่ต้องไปตามหาเคล็ดลับสุดขอบฟ้าที่ไหนไกล ลองพิจารณาว่าในอิทธิบาท 4 นั้น ท่านมีครบทุกข้อแล้วหรือยังนะครับ


Sunday 17 July 2016

ภาค Reborn - "The Armageddon trader!!!" #4



How to utilize “the unbeatable legion” 
วิธีเข็นกองทัพไร้พ่ายเอาไปใช้งาน : Level 1
_____________________________________________________

ต่อจากตอนก่อนหน้านู้นนน กองทัพไร้พ่ายของเราจะเกิดขึ้นได้ก็เนื่องมาจาก การคิดวางแผนอย่างรัดกุม ดำเนินตามแผนการด้วยความมีวินัยขั้นสูง แม้ผลตอบแทนไม่หวือหวา แต่มันก็คุ้มค่าถ้าต้องแลกกับความอมตะของมัน หุหุ => ช่วงแรกอาจจะหน้าเบื่อหน่อยครับ ในการสร้างกองทัพไร้พ่าย แต่ว่าความเมามันส์จะเริ่มต่อจากนี้เป็นต้นไปครับ หึหึหึ

แล้วเราเอากองทัพไร้พ่ายมาทำอะไร? เราคงไม่ได้วางแผนมาอย่างดีเพื่อจะให้มันนั่งเล่นกันเฉยๆ หน้าที่เราคือ ต้องใช้งานมันให้หนักๆ ครับ หุหุ

หน้าที่ของกองทัพไร้พ่าย คือ 1) เป็นอมตะ 2) ฝึก skill การรบให้จอมทัพ 3) จับเชลยมาให้เรา 4) เป็นฐาน Psychology ให้กองทัพอื่นๆ ต่อไปในอนาคต

ขยายความ หน้าที่ของกองทัพไร้พ่าย ได้ดังนี้
1) คงเป็นอมตะตลอดกาล เป็นหน้าที่หลัก ต้องกองทัพที่ไม่มีวันแตกสลาย เป็นฐานทัพใหญ่ จงท่องเอาไว้ว่า “เงินกรู ห้ามหายเด็ดขาด!!” ดำเนินกลยุทธ์ป้องกันเต็มรูปแบบ (Defensive strategy) ต้อง focus ที่การอยู่รอดในสนามรบ ไม่ใช่การเอาชนะสงคราม

2) สาเหตุที่เราสร้างกองทัพไร้พ่ายขึ้นมา ก็เพื่อที่ช่วยให้เราอยู่ในสนามรบได้นานที่สุด การเทรด มันก็เป็นเกมส์แห่งประสบการณ์ครับ ต้องใช้ skill แบบสะสมไปเรื่อยๆ ไม่มีทางลัด (ยกเว้นได้อาจารย์หรือโค้ชดีตามประกบก็จะเร็วขึ้นเยอะ แต่เราทุกคนส่วนมากไม่ได้โชคดีเช่นนั้นครับ) ยิ่งคุณอยู่นานเท่าไหร่ skill ของคุณในฐานะจอมทัพก็ควรจะอยู่เหนือกว่าชาวบ้านธรรมดาที่เพิ่งเริ่มจับอาวุธมาเข้าสู่สนามรบถูกมั๊ยล่ะคับ => ถ้าหนังสือ Outliners บอกว่าฝึกให้ถึง 10,000 ชั่วโมง แล้วเก่งแน่ๆ => หน้าที่คุณก็คือต้องอยู่ฝึกให้ถึง อย่าเพิ่งตายไปซะก่อน

3) หน้าที่ต่อมา คือ จับเชลยศึกมาให้เรา เชลย ก็คือ “กำไร” หรือ “กระแสเงินสด” ที่เราไปรบชนะแล้วจับเชลยฝั่งตรงข้ามกลับมา แล้วเราเอาเชลยมาทำไมคับ ยกตัวอย่างเป็นไอเดียเพื่อต่อยอด ก็เช่น เมื่อเราจับเชลยมาได้ตามจำนวนที่ต้องการแล้ว เราก็จัดตั้งกองทัพใหม่ขึ้นมา เพื่อเอามาใช้เป็นเกราะป้องกันกองทัพไร้พ่ายอีกชั้นนึง ในขณะเดียวกันก็ทำการบุกโจมตีไปด้วย ไม่เน้นตั้งรับแบบกองทัพไร้พ่าย ใช้กลยุทธ์กึ่งรับกึ่งบุก (Aggressive & Defensive strategy) => ขอเรียกชื่อ กองทัพใหม่นี้ง่ายๆ ว่า กองทัพ Shield ครับ อยากจะตั้งซักกี่กองทัพก็ได้ครับ ขึ้นอยู่กับขนาดของกองทัพ shield และจำนวนเชลยที่จับมาได้ (ตัวอย่างตัวภาพประกอบมี 3 กองทัพ)

4) เป็นฐานแห่ง Psychology ให้กองทัพอื่นๆ ต่อไปในอนาคต => เมื่อเราจับเชลยได้มากๆ เข้า กองทัพของเราก็จะแตกขยายกิ่งก้านสาขาออกไปเรื่อยๆ กลายเป็นกองทัพขนาดใหญ่ แต่กองทัพขนาดใหญ่นั้นต้องมีศูนย์บัญชาการที่มั่นคงก่อนครับ เปรียบเสมือนเรามีกองทัพหลักที่เราอุ่นใจอยู่เสมอ แล้วมีแม่ทัพผู้เก่งกาจนั่งบัญชาการอยู่ในฐานที่มั่นที่ปลอดภัย => ถ้าเปรียบเทียบในเชิงธุรกิจ กองทัพไร้พ่าย อาจเปรียบเสมือน BU หลัก ที่ใช้เป็นตัว generate cashflow เพื่อหล่อเลี้ยงกิจการ

ก็เป็นไอเดียเบื้องต้นสำหรับการต่อยอดใน level 1 ครับ
ชักจะเริ่มยาวอีกแว้ว เอาไว้ต่อคราวหน้าสำหรับการ Level up ต่อไปครับ...



https://www.facebook.com/PleaseMindYourTFEX/photos/a.341305102579369.81511.221405844569296/570088076367736/?type=3&theater

https://www.facebook.com/crazygoatbuster/