Tuesday 3 May 2022

ภาค Reborn - เหนื่อยนักพักก่อน #10

ไม่ได้อัพ Blog มาสองปีกว่าแล้วแฮะ

ตอนนี้เริ่มจะมีเวลาว่างล่ะ เพราะเกษียณจากงานประจำล่ะ  ถถถ


สองปีกว่าที่ผ่านมาก็ไม่มีอะไรมาก ก็คือ ลาออกจากนึงแล้วก็ย้ายไปทำอีกงานนึงที่คิดว่าใกล้บ้าน

เนื่องจากเรารู้อยู่แล้วว่างานประจำมันไม่ใช่ทางน่ะ เราก็รู้อยู่แล้วว่าเรามาทำงานแค่ชั่วคราว 

เพราะเดี๋ยวเราก็ต้องเกษียณย้ายไปอยู่ ตจว ล่ะตามแผนเดิม  ก็คือทำเพื่อแค่รอเวลาเลิกน่ะแหละ

จะทำงานเพื่อจะให้ได้ promote ก็ไม่ได้อยากจะขึ้น เพราะด้วยลักษณะงานหรือองค์กร สภาพแวดล้อมต่างๆ

เราเห็นอยู่แล้วว่าขึ้นไปแล้วเป็นยังไง จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดแต่ละเส้นทางมันเป็นยังไง 


พวกตำแหน่งสายงานเรา ขึ้นไปต่อก็เป็น CFO, CEO แล้ว

แต่เราไม่เคยคิดอยากจะทำตำแหน่งพวกนี้เลยนะเอาจริงๆ รู้สึกว่ามันไม่สนุกแล้วอ่ะ

คือจริงๆตัวเรา ก็เป็น Growth mindset นะ ไม่มีใครอยากทำอาไรแล้วก็ย่ำอยู่ที่เดิมหรอก 

มันก็ต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ อยู่แล้ว การออกนอก Comfort Zone มันเป็นเรื่องปกติธรรมดามักๆ


แต่การวาง positioning ตัวเองในที่ทำงานให้เป็นแบบไม่ Growth ตามที่เราวางแผนไว้นี่ก็ยากเหมือนกัน

คือด้วยคุณภาพมาตรฐานการทำงานของตัวเองมันค้ำคออยู่ ถึงเราจะทำงานแบบเงียบที่สุด

มันก็ไม่วาย ที่จะต้องโดนดันขึ้นไปเรื่อยๆ อยู่ดี


คือเราก็ทำงานถ้านับเฉพาะแนวๆ แบบงานประจำนี่ก็รวมๆ ก็ยี่สิบปีได้ล่ะ

เป็นองค์กรแบบ Consultant กับ Corporate อย่างละสิบปีได้ ทำมา 5-6 บริษัทได้

ตอนสมัยเด็กๆ เราวาง position ตัวเองว่าเป็น Rookie star น่ะ มีอาไรกรูทำหมดแบบทุ่มเท

ซึ่งงานแรกทำเป็น IB น่ะ งานมันก็หฤโหดเหลือเกินสำหรับเด็กอายุ 20 จะบอกว่างานมันโคตรยากเลย

เอาจริงๆ งานตอนที่ทำตอนอายุ 20 กว่านั่นจะว่าไปก็พอๆ กับที่ทำตอนอายุ 40 กว่านี่เลยแหละ

เผลอๆ อาจจะยากกว่าด้วย คือ เราเริ่มต้นด้วยงานที่ยากที่สุดตั้งแต่เด็ก 

แล้วก็ใช้วิชานั้นทำมาหากินมาเรื่อยๆ คือ จะบอกว่าเงินเดือนขึ้นมาเป็น 10 เท่าแต่เนื้องานเหมือนเดิมเลย 

หรือจริงๆ เราอาจจะโง่ก็ได้นะ คือกรูนี่แม่มได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นตามอายุนี่เอง ไม่ได้ขึ้นด้วยความสามารถ 55


เรื่องการวาง positioning ในที่ทำงานนี่ผมคิดว่าสำคัญมากระดับกลยุทธ์เลยแหละ

คือ มันเป็นตัวกำหนดไว้ว่าตัวคุณจะเป็นยังไงในองค์กรต่อไปน่ะแหละ

ยกตัวอย่างเช่น ตอนเด็กๆ ผมวางตัวเป็น Rookie star นะ หน้าใหม่ไฟแรง มีอาไรกรูทำหมด ช่วยเค้าไปทั่ว

ถ้าอยู่ในองค์กรที่เป็น Consult ผมก็จะได้ promote ทุกปีพร้อมโบนัส 6 เดือน

ถ้าอยู่ในองค์กรที่เป็น Corporate ผมก็สามารถ Double เงินเดือนขึ้น 100% ได้ภายในระยะเวลา 2 ปี

แต่หลังจากการเป็น Rising star ข้อเสียก็คือ งานทุกอย่างจะไหลมาที่มรึงหมดเลยย!!

ซึ่งมันก็ต้องแลกมาด้วยการทำงานหนักโคตรๆ เวลาที่หายไป และสุขภาพที่ทรุดโทรม


หลังจากที่เริ่มเก๋าเกมส์ขึ้น เวลามีน้องๆ มาปรึกษา เราก็จะแนะนำว่าให้เริ่ม positioning ตัวเองละว่า

ในองค์กรนี้เราจะเป็นแบบไหนดี จะเล่นบทบาทอะไรดี จะแสดงออกอย่างไรดี จะ react ยังไงดี

คุณจะอยากเป็น Rising star เป็น Successor เป็น Backbone เป็นท่อนไม้ หรือเป็นตู้ปลา มันก็แล้วแต่คุณ

คุณอยากจะ Work life balance แต่ performance คุณต้องได้ โบนัสต้องดี คุณก็ต้องคิดว่าคุณจะทำยังไง

แต่ถ้าคุณอยากเป็น Star แต่ถ้าคุณ Balance งานที่มันจะไหลมาเทมาไม่เป็น งานมันก็จะทับคุณตาย!!!


ป.ล.

1)  คุณพ่อผมเสียแล้วเมื่อสงกรานต์ปีก่อน คือ อาการท่านแบบว่ากินข้าวเสร็จแล้วก็ไปนอนพักเอนหลังหลับแล้วก็ไปเลยเวลาประมาณ 6 โมงเย็น ไม่ได้เสียเพราะติดโควิดนะ พ่อไม่ได้เป็น แต่เสียด้วยอาการชราภาพหลังจากที่ผ่าตัดใหญ่มาแล้ว 5 รอบ ท่านก็อยู่มาได้อีกประมาณ 6-7 ปี ก็คืออวัยวะภายในหมดอายุขัยแล้วแหละ สังเกตได้จากตอนที่ผ่าตัดมาใหม่ๆ เมื่อ 6-7 ปี คุณพ่อผมเดินออกกำลังไปทั่วหมู่บ้านเลย ตอนแรกรัศมีการเดินจะอยู่ที่ประมาณ 1 กิโลต่อวัน ไปเดินได้เองโดยไม่ต้องมีคนดูแล แล้วระยะทางก็จะค่อยๆ สั้นลงเรื่อยๆ ไปทุกๆ ปี หลังจากนั้นก็เริ่มจะมีหกล้มบ้าง คุณแม่ก็จะเริ่มเป็นห่วง ก็ต้องมีคนไปเดินด้วยเพราะว่ากลัวจะหกล้มอีก ช่วงหลังๆ ตอนที่ผมพาไปเดินนี่ ระยะทางประมาณแค่ 100-200 เมตร อาจจะต้องใช้เวลาเดินเกินครึ่งชั่วโมง ซึ่งท่านก็จะเหนื่อยมากล่ะ เหงื่อแตก มีหอบหายใจไม่ทัน คือ พ่อผมเป็นคนชอบออกกำลังกาย ต้องให้คนพามาเดินตลอด => หลังจากนั้น ก็เริ่มเปลี่ยนจากเดินนอกบ้านมาเป็นเดินในบ้านแทน จากเดินขึ้นลงชั้น 1 ชั้น 2 ได้เอง ก็เริ่มเดินขึ้นลงบันไดไม่ไหวล่ะ ครั้งสุดท้ายที่พากลับมาจาก รพ ก็คือ ผมกับน้องชายต้องให้ท่านนั่งบนเก้าอี้ แล้วผมกับน้องชายก็ช่วยกันยกเก้าอี้ขึ้นไปที่ชั้น 2 แทน คือ จะประคองปีกให้เดินก็ไม่ไหวแล้วคับ และเนื่องจากเป็นต่อมลูกหมากโตด้วย ก็เลยต้องใส่สายสวนปัสสาวะพร้อมมีถุงฉี่ติดตัวตลอดเวลา

สุดท้ายพ่อผมก็ต้องจากไปตามสัจธรรม ถามว่าผมเสียใจมั๊ย ก็คือผมทำใจไว้แล้วตั้งแต่การผ่าตัดใหญ่ทั้ง 5 รอบที่ผ่านมา ตั้งแต่การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ ผ่าตัดเส้นเลือดในสมองแตก ผ่าตัดเปลี่ยนเส้นเลือดหลักจากหัวใจที่ไปเลี้ยงสมอง บลาๆๆ  ซึ่งผมว่าช่วงเวลาหลังจากนั้นที่ครอบครัวเราได้อยู่ร่วมกันพร้อมหน้าพร้อมตากันก็คือโบนัสแล้วแหละ ซึ่งก็ทำให้ครอบครัวของเราแต่ละคนแข็งแรงขึ้น แข็งแกร่งขึ้น ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้ด้วยกัน พอถึงวันที่ต้องจากลาจริงๆ ทุกคนก็ทำใจได้แล้ว คุณพ่อผมตอนจากไปก็ถือว่าไปสบายไม่ได้ทรมาน ระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่ก็ถือว่ามีความสุขดี กินได้อร่อย นอนหลับง่าย ขับถ่ายสบาย ไม่ได้เจ็บออดๆ แอดๆ มีแค่เพียงเดินได้ช้าลงขยับตัวได้ช้าลงตามวัยและสภาพร่างกายก็เท่านั้น ส่วนตัวผมเองก็คิดว่าได้ทำหน้าที่ของบุตรได้เท่าที่ตัวเองจะสามารถทำได้แล้วอาจจะไม่ได้ดีที่สุด แต่ก็คิดว่าไม่มีอะไรที่ค้างคาใจ สิ่งที่ผมคิดว่าทำให้คุณพ่อได้ผมก็ทำไปหมดแล้วตามกำลังและความสามารถที่มีครับ 

2) หมาที่บ้านผมมี 4 ตัวทุกตัวแข็งแรงดี แต่มีอยู่ตัวนึงอายุน่าจะ 10 ปีนิดๆ อยู่ดีๆ มันก็เดินไม่ได้แล้วก็เริ่มขยับตัวไม่ได้ ได้แต่นอนนิ่งๆ จะลุกขึ้นมากินข้าวเองก็ไม่ได้ ซึ่งจากประสบการณ์ที่เลี้ยงหมามาแล้วหลายสิบตัวจำไม่ได้ อาการแบบนี้ปกติจะอยู่ได้อีกไม่เกิน 2-3 วัน แต่ปรากฎว่า พอผ่านไปอีกหลายวัน มันดันไม่ตายแฮะ พอไปตั้งใจดูดีๆ ก็พบว่าถึงมันจะผอมเพราะกินข้าวไม่ค่อยได้ แต่พลังชีวิตยังดีอยู่ แค่ขยับตัวไม่ได้เท่านั้น ก็เลยตัดสินใจพาไปหาหมอเผื่อตรวจอาการ จะได้ดูว่ามันเป็นอาไรกันแน่ จะได้รักษาได้ถูก => พอเอาไปหาหมอ หมอก็ไม่รู้เป็นอาไรหรอก ก็เลยต้องตรวจนู่นนี่นั่น ดูว่าเป็นโรคพยาธิมั๊ย ติดเชื้อในกระแสเลือดป่าว X-Ray ดูทั้งตัว จนสรุปได้ว่าเป็นมันเป็นโรคกระดูกสันหลังงอก!! ตรงข้อต่อ 2-3 อัน ซึ่งทำให้เจ็บมากจนขยับตัวไม่ได้ หรืออาจจะขยับได้แต่เจ็บจนไม่อยากขยับ สาเหตุ หมอบอกว่าน่าจะมาจากหมาที่อายุมากแก่ๆ ก็มีโอกาสเป็นได้ เอาจริงๆ ก็เพิ่งเคยเห็นเป็นตัวแรกนี่แหละ ถามว่ามีทางรักษามั๊ย ก็จริงๆ อาจจะต้องผ่าตัดหลังมั้ง แต่หมามันแก่ซอมขนาดนี้แล้วคงไม่ไหวหรอก ก็เลยต้องรักษาตามอาการให้หมอจัดยาที่คิดว่าดีที่สุดเอามาให้ เพื่อลดความทรมาน รวมทั้งสอนวิธีกายภาพ => หลังจากหมอจัดยามาให้ก็พยายามดูว่าเป็นยาประมาณไหน คุณแม่ผมก็ไปหาที่ดีกว่านั้นมาอีก เอายาพวกที่บำรุงปลายประสาท พวกวิตามินต่าง พวก Ensure ที่พ่อชอบกิน ก็เอามาบำรุงเจ้าหมีแบบจัดเต็มพร้อมทำกายภาพให้มันทุกวัน => คือสรุปอาการมันก็ดีขึ้นน่ะแหละ ดูแล้วมันไม่เจ็บไม่ทรมาณล่ะ อ้วนท้วนแข็งแรงขึ้น เริ่มที่จะขยับตัวไปมาได้ พลิกตัวเองได้ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ติดอย่างเดียวคือ มันลุกขึ้นมาเดินเองไปไหนมาไหนเองไม่ได้ เปรียบเสมือนคนป่วยติดเตียง => ซึ่งอันนี้แหละคือเรื่องใหญ่ ถ้าใครเคยดูแลผู้ป่วยติดเตียงก็จะรู้ว่าเหนื่อยแค่ไหน แต่อันนี้มันเป็นหมาที่เราเลี้ยงเอาไว้ในกรงนอกบ้าน พอมันขี้มันเยี่ยวที มันก็ร้องให้เราไปเก็บขี้เก็บเยี่ยวให้ เพราะมันไม่อยากนอนทับขี้เยี่ยวมันเอง ซึ่งเราก็เข้าใจ คนในครอบครัวก็พยายามช่วยกันทำให้มันแหละ คือตอนกลางวันไม่เป็นปัญหาหรอก แต่มันจะหนักตอนกลางคืนนี่แหละ ซึ่งมันก็จะขี้เยี่ยวตอนตี2-ตี3 บ่อยๆ แล้วก็จะร้องโอดโอย ไอ่เราก็ต้องรีบตื่นลงมาเพราะเกรงใจเพื่อนบ้าน คุณแม่ยังบ่นอยู่ว่า พอไม่ต้องดูแลพ่อแล้ว ก็ต้องมาดูเจ้าหมีแทนอีก 55 => เหตุการณ์มันก็วนเวียนไปแบบนั้นผ่านไป 5 เดือน คือมันก็ดูแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่เหมือนหมาที่กำลังจะตายล่ะ แต่ทุกครั้งที่มันขี้เยี่ยวตอนกลางคืน แล้วต้องผมลงมาเช็คขี้เยี่ยวให้มันก็รู้สึกสงสารจับใจน่ะแหละ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะพ้นทุกข์ซะที (คือเราก็จะได้พ้นทุกข์ไปด้วยน่ะ ถถถ) แต่ละครั้งก็คอยอุทิศส่วนกุศลไปให้เจ้ากรรมนายเวรของเจ้าหมี คุณแม่ก็ทำสังฑทานให้ด้วย... จนพอมาถึงวันตรุษจีนไหว้เจ้าเท่านั้นแหละ แม่ผมก็อธิษฐานขอให้เจ้าหมีหาย... ปรากฎว่าวันต่อมา เจ้าหมีมันก็ลุกขึ้นมาเดินเองจนได้ราวกับปาฏิหาริย์!!!


เหตุการณ์นี้ Amazing มักๆ คือ ปกติจะเชื่อในเรื่องบุญกรรมอยู่แล้ว จะมองเป็นแบบรูปพลังงานบวกลบ หรือหยาบละเอียดก็ได้ เวลาที่เจอญาติมิตรที่กำลังไม่สบายกายไม่สบายใจ ก็เลยมักจะพยายามอุทิศส่วนกุศลแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรทุกคนที่รู้จักที่กำลังเจ็บป่วยอยู่ ส่วนมากเกือบทั้งหมดก็จะอาการดีขึ้นนะมีเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ หลายคนที่เกือบตายเป็นพวกลูคิเมีย, SLE, มะเร็งนู่นนี่ แต่ก็ยังอยู่ดีมาได้จนถึงทุกวันนี้ มีตายไปแล้วก็หลายรายส่วนมากจะเป็นมะเร็งแบบแรงๆ ที่มารู้ทีหลังจากที่มันลามไปทั้งตัวแล้วอันนี้ก็จะยากเกินไป => คือผมแค่อยากจะบอกว่าวิธีนี้ก็ช่วยได้จริงๆ แค่นั้นแหละ ถ้าชะตาชีวิตยังไม่ถึงฆาตจริงๆ ก็เอาไปลองดูกันได้ไม่เสียหาย ใครที่มีญาติมิตรกำลังเจ็บป่วยอยู่ ยกตัวอย่างเจ้าหมีนี่แหละดีที่สุด คือ ทุกวันนี้มันลุกขึ้นมาแล้วกินข้าวเองได้ไม่ต้องนอนให้ป้อนข้าว ไปขี้เยี่ยวเองได้ ถึงแม้ว่ามันจะเซๆ หน่อย ไม่ต้องนอนร้องโอดโอยตอนกลางคืน ก็ถือว่าเป็นสุดยอดที่สุดล่ะคับ 😇


ว่าจะเขียนสั้นๆ นึกว่าไม่มีไรจะเขียน

แต่พอเขียนแล้วก็เริ่มยาวทุกที 555 #จบ


Sunday 5 January 2020

ภาค Reborn - เหนื่อยนักพักก่อน #9




















เผลอแป๊บเดียว ไม่ได้เขียน blog มาปีกว่าๆ อีกแระ 555
ถึงช่วงสิ้นปีแล้วก็ต้องเอาซะหน่อยนะ

มาถึงตอนนี้ก็ยังทำงานประจำอยู่ที่เดิม ตอนแรกกะว่าจะมาช่วยเค้าทำแค่เดือนเดียว
ไปๆ มาๆ ทำมาก็ 2 ปีแล้วเนี่ย ทำจนได้โปรโมตเป็น Director แล้วซะงั้น
คนทำงานจริงๆ ก็ลาออกรวมๆ ก็ออกไปได้ครึ่งออฟฟิศล่ะมั้งเนี่ย
อยู่ในองค์กร+ธุรกิจที่มีวิกฤตที่มีปัญหาก็มักจะเป็นแบบนี้
ถ้ายังหาทางแก้วิกฤตไม่ได้ ก็ต้องเพิ่มทุนต่อไปเรื่อยๆ ทุกปีๆ

อยู่มาแค่ 2 ปีนิดๆ แต่เปลี่ยน CEO กับ CFO ไปแล้วอย่างละ 4 คน
ยังไม่นับรวม CCO, COO, CSO นะ โดนสอยไปไม่รู้แล้วอีกกี่คน
ยังไม่นับตำแหนงรองๆ ลงมาอีกเพียบ
ก็คิดดูล่ะกันนะฮะท่านผู้ชม ว่าหนักขนาดไหน

อยากจะออกก็ออกไม่ได้ เพราะไม่มีคนมารับช่วงต่อ
ไอ่เราก็ไม่อยากจะทิ้งงานกลางทางซะด้วยสิ ก็ต้องทำต่อไปเรื่อยๆ
จนกว่าจะเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

... ... ...

เรื่องสุขภาพ เริ่มทำ IF มาตั้งแต่วันที่ 1 Jan 2019
ก็ทำ 16/8 ทุกวัน เน้นๆ โดยเฉพาะวันที่ทำงานจันทร์ถึงศุกร์เป็นพิเศษ
คือถ้าไม่มีงานกินเลี้ยงอะไร ก็ไม่มีหลุดนะ ทำได้ทุกวันเป็นปกติ
น้ำหนักจากช่วงพีค 75 kg++ ลงไปถึงจุดต่ำสุดอยู่ที่ 69 kg
ซึ่งเป็นจุด Ideal ของเราแล้ว จนหน้ามันเริ่มตอบเกินไปล่ะ
คิดว่าผอมเกินไป ก็เลยกินเยอะขึ้นไปอีก
ปล่อยๆ อาหารบ้างไม่ได้คุม กินแหลก เน้นโปรตีนเป็นหลัก ไม่ค่อยซีเรียสอาไร
บวกกับช่วงหลังไปเที่ยวเยอะด้วย+งานเลี้ยงช่วงปีใหม่ก็เยอะ
น้ำหนักก็เลยขึ้นมา 2-3 kg เลยทีเดียว เดี๋ยวต้องมาเริ่มกันใหม่ล่ะ 55

คนที่ออฟฟิศก็ชอบมาถามว่าทำไมถึงผอมนะ ทำไงอ่ะ
เพราะเห็นเรากินอยูตลอดเวลาไม่เคยหยุดปากเลย กินเยอะมากๆ ด้วย
เดินผ่านโต๊ะเราทีไร ก็เห็นของกินเต็มโต๊ะ ปากก็เคี้ยวอยู่ตลอด ก็ตลกดีเหมือนกันนะ 55
คิดว่า IF นี่มันช่างเหมาะกับเราซะจริงๆ เลย ทำได้ง่ายๆ กินได้เต็มที่

... ... ...

เรื่องเทรด ก็ไม่มีอาไร เทรดไปเรื่อยๆ ตามทรัพยากรเวลาที่มี
ส่วนใหญ่จากที่สังเกตเห็นจากตัวเองจะพบว่า เราจะเริ่มเทรดได้ดี ตอนที่เริ่มต้นพอร์ทใหม่ๆ
หรือคิดกลยุทธ์ใหม่ๆ หรือมีการแข่งขันกันใหม่ๆ หลังจากนั้นก็จะค่อยๆ drop ลง
คงเป็นเพราะเวลาที่เริ่มต้นอะไรใหม่ๆ เราก็จะ focus ไปที่ตรงนั้นเยอะ
ก็คงเป็นเพราะเรายังสนุกกับมัน แต่พอผ่านไปนานๆ เริ่มคุ้นชิน
ความ focus ของเรามันก็ drop ลงไปด้วย
ก็คิดว่าจะทำยังไงให้สามารถรักษาระดับการ focus ของเราไปให้ได้คงที่ตลอด
เหมือนพวกนักดนตรีอาชีพที่ต้องเล่น concert เพลงเดิมๆ ซ้ำๆ เป็นร้อยเป็นพันรอบ
ให้มีอารมณ์พีคได้เหมือนเดิม เพื่อคนดูจะได้ไม่เบื่อ เพราะเค้าอาจจะเพิ่งมาดูเราเป็นครั้งแรก
แต่เรานี่เล่นจนแบบว่า มันเอียนจนอยากจะอ๊วกออกมาแล้วก็ตาม (ฮา)

สำหรับเรื่องการเทรดของเรา มันยังมีอะไรให้ปรับปรุงได้อีกเยอะแยะมากมายเลย
จริงๆ เราก็รู้อยู่แล้วว่าต้องทำอะไรอ่ะนะ แต่มันก็ยังทำมันได้ไม่สุดซะที
คงต้องหาวิธีเพิ่มความกระหายหรือสัญชาตญาณของนักล่าให้เพิ่มขึ้นมาให้ได้

... ... ...

สำหรับเรื่องการออกกำลัง ก็ยังคงเน้นการวิ่งเป็นหลัก เพราะว่าง่ายสุดแล้ว
สำหรับปีแรกที่เริ่มวิ่ง ก็ตั้งเป้าไว้ว่าทุกครั้งที่ไปวิ่ง ต้องวิ่งไม่ต่ำกว่าครั้งละ 5 km
ปีที่ 2 ก็เพิ่มขั้นต่ำขึ้นเป็นครั้งละ 6 km
ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ 3 ก็เพิ่มขั้นต่ำเป็นครั้งละ 7 km

ปีนี้เริ่มเป็นปีที่ 4 ก็ยังคิดอยู่ว่าจะเพิ่มขั้นต่ำเป็นครั้งละ 8 km หรือจะเป็นการทำเวลาให้ดีขึ้นแทน
(หรือว่าควรจะทำทั้ง 2 อย่างพร้อมกันเลย)


นอกจากนั้น ก็เริ่มมีการ Weight training เพิ่มขึ้นมาด้วย เป็นครั้งแรกเลย
เริ่มต้นด้วยการวิดพื้น ตอนแรกวิดได้แค่ 10 ทีเอง ก็จะตายอยู่ล่ะ
พอวันต่อมา จะทำต่อก็ทำไม่ได้ล่ะ ปวดแขน 555

แต่ก็ฝืนทำไปเรื่อยๆ กล้ามเนื้อมันก็แข็งแรงขึ้นเอง
ทำมาเรื่อยๆจนถึงสิ้นปี ก็สามารถวิดพื้นตอนเช้าได้ 25 ที และตอนเย็นได้อีก 25 ที ติดๆ กันทุกวันล่ะ

ระหว่างที่เริ่มวิดพื้น ก็ทำ Squat ด้วยหลักการเดียวกัน เริ่มต้นเอาแค่วันละ 10 ทีพอ
ทำจนถึงสิ้นปี ก็ทำตอนเช้า 25 ที เย็น 25 ที ได้เท่ากับวิดพื้น

ซึ่งเราเองคิดว่า 2 ท่านี้แหละคือพื้นฐาน สำหรับคนที่ไม่มีเวลาเลย เพราะทำง่ายที่สุดล่ะ
ทั้ง 2 ท่านี้ จะช่วยทำให้เรามีรูปร่างที่ดูดีขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง และวิ่งได้ดีขึ้นด้วย
(จากที่ดูอ้วนๆ หน้ากลมๆ ตอนนี้ใส่กางเกง skinny ได้แล้ว 555)


นอกจากนี้ ถ้าพลังงานเรายังเหลือก็ค่อยเพิ่มท่าอื่นๆ เข้ามา
ซึ่งผมก็เน้นท่าที่เสริมหัวไหล่เป็นหลัก เพราะคิดว่ามันเป็นกล้ามเนื้อที่ขึ้นยากมากนะ
อุปกรณ์เราก็ไม่ค่อยมี ก็ทำๆ ไปตามมีตามเกิดน่ะแหละ  ยังดีกว่าไม่ทำเลยอ่ะนะ 55

... ... ...

สำหรับเรื่อง lifestyle เราก็ยังคงกินๆ เที่ยวๆ เป็นปกติ จัดเต็มเหมือนเดิมตลอด
ในใจนี่อยากจะเอารูปของกิน กับรูปไปเที่ยวมาลงใน blog มากเลย
แต่อีกใจนึง ก็ไม่อยากจะเอาของพวกนี้มาลงให้คนเกิดกิเลสเกิดความอยาก
ก็เป็นคนคิดมากแบบนี้อ่ะนะ มันก็เลยไม่ได้เขึยนซักที 55

... ... ...

สำหรับเป้าหมายปีนี้ คาดว่าจะใช้วิธีเดิม คือ
อยากได้อะไร อยากทำอะไร ก็เขียนแล้วใส่กระเป๋าตังค์เอาไว้
คิดว่าวิธีนี้ก็ยัง work อยู่สำหรับเรา เพราะเขียนไปแล้วก็ได้ตามนั้นเกือบหมด
ตอนนี้ยังเหลืออีกแค่ข้อเดียว คาดว่าปีนี้ต้องได้แน่ๆ

แต่ก็จะเพิ่มเป้าหมายใหม่ๆ ที่ท้าทายขึ้นเข้ามา
อยากจะออกนอก Comfort zone เพิ่มขึ้นไปอีก

เอาไว้เป็นว่า
จบแค่นี้ก่อนล่ะกันครับ ^ ^

... ... ...



Friday 12 October 2018

ภาค Reborn - เหนื่อยนักพักก่อน #8




















ไม่ได้ update blog มานาน (อีกแล้ว) ฮาๆ
คือ อยากจะบอกว่าอยากจะเขียน blog นะ แต่รู้สึกว่าใช้เวลานาน
ไม่อยากจะเขียนแบบว่านึกๆ อะไรได้ก็เขียนๆ ไปเหมือนแต่ก่อน
อยากเขียนอะไรที่มันตกผลึกแล้วมากกว่า แต่จะรอให้มันตกผลึก มันก็นานไง
ก็เลยเป็นข้ออ้างให้ไม่ได้เขียนอยู่นั่นแหละ ฮาๆ

ช่วงที่ผ่านมา ก็ยังคงทำงานอยู่ในองค์กรที่มีวิกฤตนั้น
ทำมายังไม่ถึงปีเลย เปลี่ยน CEO ไป 2 คนแล้ว บอร์ดก็เปลี่ยนเกือบยกชุด
เปลี่ยนผู้ถือหุ้นใหญ่ด้วย เปลี่ยนนู่นนี่นั่นเต็มไปหมด
เป็นองค์กรที่มีปัญหาแบบว่า แต่ละคนก็ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะแก้ยังไงดี
เป็นองค์กรที่แบบว่านักข่าวก็ช่วยกันลงข่าวโจมตีเหลือเกิ๊นนนน ฮาๆ
คนที่ทำงานส่วนของเราก็ลาออกหนีไปกันหมด
ขนาดพี่ที่ชวนมาทำงานด้วยก็ยังอยู่ไม่ได้แล้วเหมือนกัน

พอคนลาออกไปหมด ไอ่เราก็ดันเป็นคนต้อง run ตัวเลข Model ของบริษัท
ยังไม่มีใครทำแทนได้ ขนาดประกาศรับสมัครงาน ก็ยังไม่มีใครมาสมัครเลย ไม่น่าเชื่อ ฮาๆ
งานนี้รับเต็มๆ เหมือนเดิม ดิ้นๆๆ ทำๆ คนเดียวไป 4-5 เดือน จนวันนึงอยู่ดีๆ ก็เป็นไข้ขึ้นมา
ก็กลับบ้านไปนอน ลางาน 1 วัน ไข้ก็ลดลง พอกลับไปทำงานอีกวันนึงเลิกดึก
คราวนี้เป็นไข้กลับมาอีกล่ะ ไข้ขึ้นสูงมากด้วย คิดในใจว่าอาการนี้ไม่ธรรมดาแน่ๆ
คือปกติถ้าเป็นไข้แล้วหาย แล้วกลับมาเป็นอีกให้ระวังตัว รีบไปหาหมอได้เลยคับ

ไปถึงให้หมอตรวจเบื้องต้นก็ admit ทันทีเลยจร้า ก่อนตรวจเลือดหมอเดาว่าเป็นไข้เลือดออก
พอผลตรวจเลือกออก ปรากฎว่า "ติดเชื้อให้กระแสเลือด" หึหึหึ เอาล่ะสิ
โรคยอดฮิตที่ทำคนตายมาเยอะ หึหึหึ
แต่เป็นเชื้ออะไรยังไม่รู้ ต้องเอาเชื้อไปเพาะดูก่อน ระหว่างนั้นก็ให้ยาฆ่าเชื้อแบบครอบจักรวาลไปก่อน

คือ อยากจะบอกว่าเกิดมาไม่เคยนอน รพ เลยนะครัช ไม่เคยหาหมอเลยดีกว่า
เคยนอนทีเดียวตอนผ่าตัดกระดูกต้นขา เนื่องจากอุบัติเหตุ แต่ไม่เคยนอนเพราะป่วยด้วยเชื้อโรค
คิดว่าตัวเองก็แข็งแรงมากพอสมควร แบบว่าลุยมาตลอด คิดว่าร่างกายมันยังเอาอยู่
(แบบว่างานก็หนักจะตายอยู่แล้ว ยังทะลึ่งไปลงวิ่ง Half-marathon ที่ ตจว อีก 555)

ผลเพาะเชื้อออก ปรากฎว่าติดเชื้อแบคทีเรียแบบแกรมบวก เป็นเชื้อ Streptococcus กลุ่มบี
ชื่อ Streptococcus agalactiae หมอบอกว่าระบุที่มาของเชื้อไม่ได้ว่าติดมาจากทางไหน
เพราะ scan ตรวจร่างกายหมดแล้ว ไม่พบจุดที่ผิดปกติเลย (และเชื้อมันมาจากไหนก็ไม่รู้ด้วย)

ปกติหมอก็จะ scan ตรวจว่าเชื้อมันเข้ามาทางไหน จะได้ไปรักษาที่ต้นเหตุ แต่หาไม่เจอ (ฮา)
ที่สำคัญคือทำ Echo scan ดูว่าติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจด้วยมั๊ยเพราะเป็นจุดที่อันตราย ผลก็ปกติ
ก็ตรวจจนหมดอ่ะ จำไม่ได้ล่ะว่าตรวจอะไรบ้าง ผ่านมาหลายเดือนล่ะ

ถ้าให้ตัวเองสรุปก็คือ ร่างกายมันคง weak สุดๆ เกินจะทนแล้วล่ะ จนภูมิคุ้มกันมันเริ่มอ่อนแอ
พอมีเชื้อโรคซึ่งไม่รู้ลอยมาจากทางไหน แล้วมันก็ดันทะลึ่งหลุดเข้ามาในระบบเลือดอีก
ซึ่งปกติมันจะเข้าตรงที่มีแผล หรืออาจจะรูทวารเลยก็ได้นะ (ถ้าผู้หญิงปกติจะติดตอนผ่าคลอด)
พอมีเชื้อโรคหลุดเข้ามา ร่างกายมันก็จะเร่งความร้อนในร่างกายเพื่อฆ่าเชื้อโรค ไข้มันก็เลยขึ้น
ตอนนี้ก็อยากจะบอกว่า ถ้าไข้ขึ้นนี่คือ ต้องเฝ้าระวังตัวกันให้ดีๆ ล่ะนะ

การติดเชื้อในกระแสเลือด น่ากลัวตรงที่ถ้ารักษาช้าก็ตายลูกเดียวน่ะคับ
เช่น เชื้อมันลามไปเกาะลิ้นหัวใจ หรือลามขึ้นสมอง ถ้ามารักษาช้า ก็แล้วแต่สภาพเลย
ช่วงที่นอนอยู่ รพ ก็ search google อ่านไปเรื่อยๆ แต่ละเคสนี่ดูไม่จืดเลย
คือ เชื้อบางตัวมันอาจจะไม่แรง แต่ตัวที่แรงคือระบบภูมิคุ้มกันของเราเองนี่แหละ
ที่มันออกมาทำลายเชื้อจนทำลายตัวเองไปด้วย (เขียนตามความเข้าใจเท่าที่จำได้ โปรดอย่าเชื่อ!)

เคสของผมยังโชคดีที่รู้ตัวเร็ว รีบมารักษาก่อน เจอเชื้อที่ไม่ดื้อยา
และมันยังไม่ลามไปติดเชื้อตรงจุดที่สำคัญ ก็เลยแค่ฉีดยาฆ่าเชื้อไปเรื่อยๆ
รวมๆ แล้วก็ประมาณ 3 weeks ฉีดๆ ไปรวมๆ ก็น่าจะ 40 เข็ม ฉีดจนพรุนไปหมดเลย
แล้วยาฆ่าเชื้อมันก็แรงด้วย ให้ยาทีแสบเส้นเลือดเลย ขวดนึงใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
พอให้ยาแล้วเส้นเลือดมันก็จะบางลงเรื่อยๆ ด้วย
พอถึงจุดนึงมันก็เริ่มเปราะ ฉีดยาไปเส้นเลือดก็แตกอีก ต้องเจาะใหม่อีก รูเต็ม 2 แขนเลย ฮา

ข้อดีคือ ได้หยุดพักงานเต็มที่เลย 2 weeks เต็มๆ

#สรุปยังรอดมาได้ครับ 555








Wednesday 11 October 2017

ภาค Reborn - เหนื่อยนักพักก่อน #7 [Stat Close system 1 ปี]

วันนี้เห็นในห้อง RTT มีคนขอดู Myfxbook ของท่านที่ทำ Close system
แล้วก็ปรากฎว่ามีคนเอาของท่านโยดามาแปะให้ดู
เราก็เลยนึกได้ว่า เราก็มีพอร์ตซ้อมที่เป็น CS เหมือนกันนิ มีพอร์ทที่ทำมาครบ 1 ปีพอดีเลย
ก็เลยปิ๊งขึ้นมาว่า ได้เรื่องเอามาเขียนบันทึกเก็บไว้ดีกว่า 555

อันด้านล่างนี้เป็น stat ของพอร์ทท่านโยดา ซึ่งเป็นต้นแบบของพวกเรานั่นเอง
เทรดมาประมาณ 3 ปีแล้วทั้ง 2 พอร์ทคับ

http://www.myfxbook.com/members/panot/mudleygroup/1522991




http://www.myfxbook.com/members/panot/mudleygroup2/1561680




ส่วนด้านล่างนี้เป็นพอร์ทซ้อม ชื่อ CGG-Full-MM
ตั้งชื่อแบบนี้ก็เพราะว่า ใส่เงินเผื่อเอาไว้เลยเยอะๆ คือ พอแน่นอน ไม่มีการล้างพอร์ทแน่ๆ

หลังจากนั้นก็คือ ถ้าตอนไหนว่าง นึกขึ้นมาได้ ก็จะเปิดมือถือขึ้นมา แล้วก็กดยิงๆ ไปตามเรื่องตามราว
แต่ในพอร์ทนี้จะใช้ concept รวมมิตร มีทั้งเทรดแบบทำ Alpha และ Beta

ผลเทรด 1 ปีก็ออกมาตามรูป ไม่เคยทำการบ้านอาไรเป็นพิเศษ ไม่มีการนั่งจ้องจอ จิ้มจากมือถือล้วนๆ
ไม่มีการ scalp ใดๆ ทั้งสิ้น การเทรดก็คล้ายๆ การทำ KZM กอง A กับ C ธรรมดาๆ
ไม่ได้เขียนกฎการเทรดอาไรชัดเจน ก็เทรดกินสวิง กินเทรนไปตามธรรมดาๆ

ซึ่งสิ่งที่แตกต่างจากโยดาอย่างเห็นได้ชัดชัดเจนก็คือ %Drawdown นั่นเอง
จำไม่ได้ว่าช่วงเดือน June ปีนี้มันมี event อาไรหว่า อยู่ดีๆ ก็ DD หนัก
หรือว่าโบรคเรามันปรับ margin ก็ไม่รู้ (คือ เพิ่งมารู้ก็ตอน update Myfxbook ย้อนหลังนั่นแหละ 555)

สรุปว่าผ่านไป 1 ปีก็ยังไม่ล้างนะคับ แม้ว่าจะโดนลากไปหนักๆ 1 รอบแล้วก็ตาม
ถ้าวัดจากตัว Equity ก็จะได้ประมาณ 26-27% ต่อปี ก็คิดว่าทำได้ตามเป้าหมาย
แม้ว่า 3 เดือนล่าสุดจะไม่ค่อยได้เทรด เพราะไปรับงานหนักชิ้นนึงมาทำ ตามที่ได้เขียนไปตอนที่แล้ว

สิ่งที่ผมต้องการจะฝึกก็คือ ผมต้องการพอร์ทอมตะที่ทำ return เฉลี่ยได้ประมาณเดือนละ 1-2%
โดยที่ไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายอะไรนัก (อาศัย skill เดิมๆ ที่มี + ทำตาม process ไปเรื่อยๆ)
เพราะคิดไปถึงช่วงตอนแก่ๆ ว่าเราก็คงจะต้องเทรดอารมณ์ประมาณนี้แหละ
คือ ไปเที่ยวแล้วก็เปิดมือถือมาแล้วก็จิ้มๆ ไป ประมาณนั้นคับ (รู้สึกว่าเริ่มจะแก่ตัวลงไปทุกวัน 555)

แต่ก็นั่นแหละถึงเวลานั้นจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าทำแค่นี้แล้วจะรอดจิงมั๊ย
ก็ต้องหมั่นฝึกฝนศึกษาเรียนรู้สร้างสมประสบการณ์กันต่อไปคับ...






Friday 22 September 2017

ภาค Reborn - เหนื่อยนักพักก่อน #6

ไม่ได้เขียน Blog นานอีกล่ะ ฮาๆ

ว่าจะเขียนเรื่อง Mind set, Mental ซะหน่อย แต่เริ่ม step คิดมากอีกล่ะ
กลัวเขียนออกมาไม่ดี นู่นนี่นั่น ผลัดไปเรื่อย ฮาๆ 

ในระหว่างนั่นเองช่วงที่งาน Freelance FA เริ่มซา ตลาดก็เงียบๆ และฝนตกก็ทุกวันเมื่อ 3 เดือนก่อน
อยู่ดีๆ ที่มีโทรศัพท์จากหัวหน้าเก่าคนแรกที่เคยทำงาน IB ด้วยกันซัก 15-16 ปีที่แล้วโทรมาหา
ถามว่าตอนนี้ว่างอยู่ใช่มั๊ีย ไม่ได้ทำงานประจำใช่มั๊ย มาช่วยพี่หน่อยเถอะ ด่วนๆๆ มาหาพี่พรุ่งนี้เลยนะ

คือเรื่องมันมีอยู่ว่า พี่เค้าเพิ่งจะเข้าไปรับตำแหน่งใหญ่โตในองค์กรใหญ่แห่งหนึ่ง แต่...
องค์กรดันกำลังมีวิกฤต คนในฝ่ายพวกที่ทำ Analyst, Risk management จากเดิมที่มี 7-8 คน
ลาออกไปหมดเลย เหลือน้องเล็กซึ่งก็เข้ามาทำงานได้ไม่นานอยู่คนเดียว  

ซึ่งถ้าพี่เค้าจะลุยต่อ อย่างน้อยต้องมีคนมาช่วยดู ช่วย run ตัวเลขพวก Financial Model 
เพราะต้องทำแผน turnaround เสนอบอร์ด บวกกับแผนนู่นนี่นั่น อาไรอีกมากมายตาม scenario ต่างๆ
เพราะน้องเล็กที่ทำอยู่คนเดียวนั่นมันจะตายอยู่แล้ว แล้วพี่เค้าก็ดูตัวเลขวิเคราะห์ไม่ทันแล้วด้วย

พอฟัง brief จบ นี่คิดในใจเลย "นี่มันงานนรกชัดๆ" (อยากจะตอบพี่เค้าไปว่า ไม่ทำได้มั๊ยเนี่ย 555)
แต่ไหนๆ ก็รับปากพี่เค้าไปแล้วว่าจะช่วย ก็เลยเอาไงเอากัน 

ไหนๆ ตลาดมันก็เงียบๆ ไม่ค่อยสวิง น่าเบื่อจะหลับ
ฝนก็ตกทุกวัน ไงๆ ก็ไม่ได้ไปซ้อมวิ่งแล้วล่ะ เอาก็เอาว่ะ

พอถัดไปอีกวันนึงก็เริ่มงานเลย ไปนั่งประจำเหมือนพนักงานออฟฟิศทำ Full time
ลองนึกสภาพคนที่ไม่ได้ทำงานประจำมา 7-8 ปีแล้ว กลับไปนั่งทำออฟฟิศนี่ดูไม่จีดเลย 555

ไปทำงานวันแรก ก็ไปอัดกันในรถใต้ดิน ต่อด้วยรถไฟฟ้า เพิ่งรู้ว่าคนนี่มันยัดกันขนาดนี้เลยหรอฟระ
ระยะทางที่เดินจากแต่ละจุดเชื่อม 3 จุดกว่าจะถึงออฟฟิศก็ประมาณ 2 กิโล ไปกลับก็วันละ 4 กิโล

พอไปนั่งในออฟฟิศก็ปูพรมอีก ดูแล้วน่าจะมีฝุ่นสะสมอยู่มาก พอกลับมาบ้านวันแรกก็ป่วยเลย 555
คิดว่าคงเป็นเพราะไม่ได้เจอคนเยอะๆ กับฝุ่นเยอะๆ มานาน ร่างกายไม่มีภูมิคุ้มกันเชื้อพวกนี้

เจ็บคออยู่ได้ซักอาทิตย์นึงก็หาย เริ่มปรับตัวได้ คราวนี้ตลอดอีก 3 เดือนก็ไม่ป่วยล่ะตามคาด


กลับมาเรื่องงาน พี่เค้าก็บอกว่าให้อยู่ช่วยก่อนซักเดือน 1 ล่ะกันว่าจะโอเคมั๊ย (หมายถึงองค์กรนะ ฮาๆ)
ถ้าไม่โอเค พี่เค้าก็จะ say goodbye ล่ะ => ช่วงนั้นงานก็มะรุมมะตุ้มมาก น้องเล็กนี่ทำงานจนเกือบจะสติแตกไปหลายรอบล่ะ สงสัยว่าคงไม่ได้ฝึก Mental มาอย่างเราชาวเทรดเดอร์ ฮาๆ

ไอ่เราเองก็ต้องเริ่มเรียนรู้ใหม่ พวกศัพท์ technical ในธุรกิจนี้มันเยอะเหลือเกิน เครื่องยนต์กลไกอาไรเต็มไปหมด เรื่องเงื่อนไขสัญญาการเงินนู่นนู่นั่นก็เยอะไปหมด แต่อาศัยว่าทำ field consult มานาน เริ่มงานใหม่ทีมันก็ต้องเริ่มเรียนรู้ใหม่ทุก business อยู่แล้ว พอทำไปได้ซักพักก็เริ่มปรับตัวได้ หลังจากที่ช่วงแรกๆ รู้สึกว่าทำงานออฟฟิศนี่มันน่าอึดอัดจริงๆ เล้ยยยย ขยับตัวแทบไม่ได้เลยนิ

=> เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เดือนที่ 1 ทำแผนเรื่อง turnaround เสนอเข้าบอร์ดผ่านไปได้ด้วยดี หัวหน้าและน้องเล็กก็เลยบอกว่า อยู่ต่อเลยได้มั๊ย, เดือนที่ 2 ทำแผนเสร็จก็เริ่มมีกลุ่มทุนใหม่เข้ามา งานก็ราบรื่นดี หัวหน้าและน้องเล็กก็เลยบอกว่า อยู่ต่อเลยได้มั๊ย, เดือนที่ 3 กิจการเพิ่มทุนได้สำเร็จ องค์กรภายในเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ราคาหุ้นเริ่มขยับขึ้นล่ะ หัวหน้าและน้องเล็กก็เลยบอกว่า อยู่ต่อเลยได้มั๊ย => คราวนี้จะให้อยู่แบบเป็นพนักงานประจำล่ะ ไอ่เราก็ หึหึหึ => พี่หัวหน้าอีกคนที่รับงาน Freelance FA ก็โทรมาบอกว่างาน Valuation case ใหม่มาแล้วนะ เตรียมเคลียร์ตารางงานด่วนๆ => สรุปตอนนี้ยังไม่รู้จะยังไงดีเลยเนี่ย งานเก่าต้องนั่ง Full time ยังออกไม่ได้ งานใหม่ที่ Freelance ก็เข้ามาอีก... แต่ก็ไม่มีอาไรหรอก เดี๋ยวมันก็ผ่านไปได้เองแหละ ฮาๆ บางทีนั่งเทรดอยู่บ้านนานๆ ก็เบื่อเหมือนกัน เอาวิชาชีพที่เรามีมาใช้ประโยชน์ให้เกิดกับองค์กรต่างๆ ก็คิดว่าดีเหมือนกัน win-win แหละ ไม่คิดมาก มีอาไรให้ทำก็ทำ


ข้อคิดที่ได้จากการทำงานนี้คือ 
1)  กทม. ช่วง office hour กลางเมืองแถวสีสม สาทร นี่มันช่างแออัดจริงๆ 
     ถ้าฝนตกนี่คือนรกดีๆ นี่เอง ขนาดไม่ได้ขับรถไปทำงานนะเนี่ย นั่งรถไฟฟ้า+ใต้ดินยังเหนื่อยเลย
    ฟังคนในออฟฟิศบอกว่านั่งรถมาทำงานวันละ 3-4 ชั่วโมงเป็นเรื่องปกติ (Productivity ประเทศชาติ)
2)  งานประจำนี่มันไม่ใช่ตัวเราเลยจริงๆ นั่นแหละ ทำแล้วเหมือนโดนดูดพลังชีวิตเลย ฮาๆ


Friday 7 April 2017

ภาค Reborn - "The Armageddon trader!!!" #22




กลับมาเขียนซีรีย์ Armageddon ต่อดีกว่า ฮาๆ

http://crazygoatgod.blogspot.com/2016/08/reborn-armageddon-trader-21.html

จากความเดิมตอนก่อนชาติที่แล้วดันไปเขียนเรื่อง MM แบบดั้งเดิม
เขียนไปเขียนมาเริ่มออกทะเล พยายามจะเขียนให้มันดี แต่ยิ่งเขียนยิ่งรู้สึกว่ามันฝืนๆ ไงก็ไม่รู้
เขียนไม่ออก ไปต่อไม่ได้ ฮาๆๆ สงสัยมันคงจะเป็นเพราะว่าเราไม่ค่อยได้ใช้ MM แบบนี้แล้วนี่เอง
เขียนแล้วเลยไม่อินเท่าไหร่ แต่ที่เขียนๆ ไปก็คิดว่าคงจะปูพื้นฐานให้เพื่อนๆ มาพอสมควรแล้ว

เอาเป็นว่าขอตัดจบ MM แบบดั้งเดิมเลยล่ะกัน ฮาๆๆ
เด่วจะไปพูดเรื่อง Mindset & Mental ซึ่งเป็น M ตัวสุดท้าย แล้วค่อยวกกลับมาเรื่อง MM นี้อีกที

ถ้าให้สรุปรวบเดียวแบบเร็วๆ เลย
MM ก็คือ Risk management หรือ การบริหารจัดการ/การควบคุมความเสี่ยง นั่นเอง
เหตุผลก็เพื่อ ทำยังไงไม่ให้เจ๊ง หมดตัว ล้างพอร์ต หรือ พูดง่ายๆ ก็คือเป็นวิธีการรักษาเงินต้น 

แต่ MM ที่เขียนไปทั้งหมดนั่น เค้าเอาไว้ใช้กับวิธีที่ต้องมีการได้เสียกัน เช่น 
การพนัน ซึ่งมันต้องผูกติดกับการถูกหรือผิดของผลลัพธ์ในแต่ละครั้ง
ถ้าเป็นการเทรด ก็คือ เทรดถูก เราก็ได้ตังค์
แต่ถ้าเทรดผิด เราก็ต้องมี Stop Loss หรือ Cut Loss (เสียตังค์) ก็เพื่อที่จะรักษาเงินต้นเอาไว้

นอกจากนี้ ก็ต้องมีการคำนวณ Position sizing หรือการคำนวณจำนวนเงินที่จะเดิมพันในแต่ละครั้ง 
ต้องรู้ stat การเทรดของตัวเอง %Win/Loss, ค่า R/R 
แล้วก็ค่า Expectancy ของระบบหรือวิธีที่ใช้ต้องเป็น + เท่านั้น บลาๆ
(ซึ่งหาอ่านได้ตามในเน็ต มีท่านผู้รู้ได้เขียนเอาไว้แล้วมากมายในเรื่องนี้)

แต่ปัญหาของ MM แบบนี้ มันไม่ได้อยู่ที่ตัวของ MM เอง 
แต่ปัญหามันดันไปอยู่ที่ Mental ของคนใช้แทน เพราะเวลาเทรดจริงๆ 
คนทั่วๆ ไปเกือบทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มต้นใหม่ๆ มักมีปัญหาในการ Stop Loss

โดยสาเหตุอาจมีหลากหลาย เช่น
1) ลึกๆ ในใจทุกคน ไม่มีใครอยากเสียตังค์ ทำให้ไม่อยาก Stop Loss เวลาเทรดผิดทาง
2) ลึกๆ ในใจทุกคน ไม่มีใครอยากผิด หรือ ยอมรับว่าตัวเองผิด (หรือยอมรับว่า กรูโง่ นั่นเอง T T)
3) พอ Stop Loss แล้ว ราคาเด้งกลับไปทางเดิม (แล้วก็จะมีคำถามในใจว่า Stop Loss ดีจริงหรือ??)
4) พอทะลึ่งลองไม่ Stop Loss ตามวินัยหรือระบบ ราคามันก็ยิ่งผิดทางถลำลึกลงไปเรื่อยๆ เจ๊งหนักกว่าเดิมอีก ฮาา (แล้วก็จะมีเสียงในใจว่า รู้งี้! กรูน่าจะ Stop Loss ไปตั้งแต่แรก T T)

สุดท้ายแล้วการใช้ Stop Loss แล้วทำให้ปวดตับกระสับกระส่าย ทำให้ Mental เจ็บปวด, Mental เสีย เนื่องจากประสบการณ์ของผู้เริ่มต้นไม่เพียงพอที่จะใช้วิธีการเทรดแบบมี Stop Loss
สุดท้ายก็พาลให้เสียกระบวน เสียวินัยไปกันหมด หนักๆ เข้าก็เจ๊งล้างพอร์ต เลิกเทรดไปเลย

ซึ่งจากประสบการณ์ง่อยๆ ของผมสรุปได้ว่า
สาเหตุจริงๆ นั้นเป็นเพราะ MM(+Method) นั้นไม่ matching กับระดับ Mental ของผู้ใช้นั่นเองครับ

ซึ่งในบทต่อๆ ไปได้ก็ได้ฤกษ์ของเรื่อง M ตัวสุดท้ายที่สำคัญที่สุดใน 3M ล่ะ
ซึ่งก็คือ Mindset และ Mental นั่นเอง


https://www.facebook.com/crazygoatbuster/




Tuesday 7 March 2017

ภาค Reborn - เหนื่อยนักพักก่อน #5 [GNR]



ตอนนี้ไม่มีอาไร แค่อยากจะเขียนว่า "กรูไปดูคอนเสิร์ต Guns N' Roses มาแล้วโว้ย" แค่นี้แหละ 555

GUNS NROSES NOT IN THIS LIFETIME TOUR IN BANGKOK

ชื่อคอนเสิร์ตก็ตามนั้นเลยอ่ะ คือแปลได้ว่า ถ้ามรึงไม่ดูครั้งนี้ ชาตินี้มรึงก็คงไม่ได้ดูอีกแล้วล่ะ 55
ตอนแรกก็ชั่งใจอยู่นานว่าจะไปดูดีมั๊ย เพราะตอนที่ Axl เริ่มกลับมาร้องเพลงใหม่ๆ สภาพนี่ดูไม่ได้เลย
ทั้งอ้วนฉุ และร้องเพี้ยน แต่จริงๆ แล้วผมไม่ได้อยากดู Axl หรอก ผมอยากดู Slash!!! ใจจะขาด (ส่วนพี่ Duff นั่นเป็นของแถมที่แสนวิเศษครับ ฮา)

จริงๆ แล้วมันเหมือนความฝันวัยเด็กของผมเลยก็ว่า จะบอกว่าผมนี่โตมาพร้อมกับเพลงของ GNR เลยทีเดียว เพลงๆ นึงนี่อาจจะฟังหลายร้อยรอบ บางเพลงอาจจะถึงพันรอบเลยก็ได้นะ 555 (ฟังมาแล้ว 25 ปี++) คือ สมัยก่อนผมว่าของเล่นมันไม่ได้เยอะเหมือนสมัยนี้อ่ะ ช่วงเด็กๆ อาจจะบ้าเขี่ยรูปลอก ต่อ LEGO ซักพักก็เริ่มบ้าอ่านการ์ตูนแล้วก็บ้าวาดรูป ต่อด้วยวีดีโอเกมส์ พอเริ่มเข้าช่วงวัยรุ่นก็เริ่มบ้าดนตรีต่อ ฮา

ผมเคยได้ยินเพลง GNR ครั้งแรกจากเพื่อน คือมันเล่นกีตาร์เพลง Don't cry ให้ฟังตอนอยู่ ม.2 ครับ ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกว่าเพลงใคร แต่รู้สึกว่าขนาดเพื่อนหน้ามันเสี่ยวขนาดนั้น แต่แค่มันขึ้น Intro เพลงนี้ขึ้นมาแค่นั้นแหละ ลุคมันก็เปลี่ยนไปเลยกลายเป็นเท่ห์_ิบหาย สาวกรี๊ดกันเกรียว... หลังจากนั้นผมก็บ้าเล่นกีตาร์มาตั้งแต่บัดนั้น (อยากเป็น Rock Star บ้างอ่ะ ฮา)

สำหรับ Slash นี่เคยมาเปิดแสดงที่ กทม น่าจะซัก 2-3 รอบแล้วล่ะ แต่เฮียแกมาในนามวงส่วนตัว คือ ผมก็ชอบนะแต่มันยังไม่ค่อยเข้าหู คือมันยังไม่สุดอ่ะ ก็เลยไม่ได้ไปดู และผมว่ามันไม่มีช่วงไหนจะ peak เท่าตอนที่เป็นวง GNR แล้ว (เอาแค่ชุดกางเขนกะโหลกปกดำที่ออกตั้งแต่ 1987 ผ่านมา 30 ปีแล้วมันก็ยังคงความดิบเถื่อนเอาไว้ได้ โดยซาวน์มันยังคงเจ๋งเหมือนเดิม หยิบมาฟังเมื่อไหร่ก็ไม่เคยรู้สึกว่ามันล้าสมัยเลย) และแม้ว่า Slash จะเป็นหนึ่งในกีตาร์ฮีโร่ก็ตามแต่ไม่ใช่แนวปั่นเร็วๆ โหดๆ นะ แต่สิ่งที่เจ๋งของ Slash ที่ผมชอบก็คือ ความเท่ห์ของซาวน์, Riff และเมโลดี้เจ๋ง ๆ บวกลูกเล่นต่างๆ ที่ผ่านออกมาทาง Les paul คู่ใจนั่นเอง พอถึงช่วง Solo แล้วบวกกับลุคของเฮียแก ก็เรียกว่าสะกดคนดูได้อยู่หมัดตลอดนะ แม่ม!! )

คือ ปกติศิลปินระดับโลกที่ดังๆ ที่ผมชอบถ้ามาเมืองไทยผมก็จะไปดูหมดแหละถ้าไม่ติดอาไร ตั้งแต่ Michael Jackson ไล่มายัน Dream Theater, The Eagle ไปจนถึงเจ๊ Mariah Carey อาไรๆ ก็ดูไปหมดแหละ ตอนที่ดูศิลปินเหล่านี้เล่นมันก็สุดอยู่นะ คิคว่าพอแล้วแหละชีวิตนี้ #เพราะคิดในใจว่าก็ GNR วงมันแตกไปตั้งหลายสิบปีแล้วนิ จะมาเล่นคอนเสิร์ตอีกได้ไงล่ะใช่ป่าว (แต่มันก็ยังมีปมเล็กๆ ยังติดอยู่ในใจ) ส่วน Metallica เคยมาแล้วตอนเด็กๆ ช่วงนั้นทุนทรัพย์ยังไม่พร้อม แต่ไม่เป็นไร ยังไม่ได้ชอบขนาดเป็นปมในใจเหมือน GNR น่ะ ฮาๆ (แต่ไม่แน่ Metallica อาจจะมาอีกรอบก็ได้นะ หึหึ)

การมา Live ครั้งนี้ของ GNR จึงเหมือนเป็นการทำความฝันวัยเด็กชิ้นสุดท้ายสำหรับเรื่องดนตรีของผมให้เป็นความจริงครับ เพราะว่า Slash ตัวเป็นๆ ที่มาในนาม GNR นี่มันไม่น่าจะเกิดขึ้นได้อีกแล้วในชีวิตนี้ แต่ในที่สุดมันก็เกิดขึ้นจนได้ครับ T T เรียกว่านอนตายตาหลับแล้วก็ไม่เชิง ฮาๆ


ส่วนเรื่องคอนเสิร์ตมันส์แค่ไหน หาอ่านได้ตามหน้าข่าวทั่วไปครับ
แต่สำหรับผมแล้ว
ตำนาน ก็คือ ตำนานครับ #จบ


(รูปนี่ของแฟนเพลงท่านนึงครับ จำไม่ได้แล้วว่าเอามาจากท่านใด)


ปล. เกร็ดเพิ่มเติมเล็กน้อยของ 3 แกนหลักหลังจากที่ GNR วงแตกไปช่วงก่อน
       (แบบมั่วๆ และมี Bias ฮา) จริงๆ อยากจะเขียนอีกนะแต่ เวิ่นเว้อแค่นี้พอล่ะ

W. Axl Rose: Frontman ยอดนักร้องนำผู้อื้อฉาว ออกงานเดี่ยวมาบ้าง แต่พูดเลยไม่โดน แถมยังอ้วนฉุ ฮา



Slash: ยังคงเทพเหมือนเดิม เลิกเหล้าเลิกบุหรี่ กลายเป็นหัวหน้าครอบครัวและพ่อที่ดีของลูก ยังคงทำงานด้านดนตรีและผลิตงานเจ๋งๆ ออกมาได้อย่างต่อเนื่อง ยังคงมีวินัยและรักษาหุ่น + ความเท่ห์แบบ_ิบหายวายป่วงเอาไว้ได้อยู่ ฮา



Duff Mckagan: นอกจากยังรักษาหุ่นได้เหมือนเดิม พี่แกยังกลายไปเป็นยอดนักลงทุนอีก กว้านซื้อหุ้นเด็ดๆ อย่าง Starbucks, Microsoft และ Amazon และทำเงินได้อย่างมหาศาล เสร็จแล้วเฮียแกยังไปเรียนต่อด้านธุรกิจเพิ่ม แล้วกลับมาเป็นที่ปรึกษาด้านการเงินในกับพวกวงดนตรีต่างๆ อีก เมพขิงๆ
(รูปเฮียนี่ก็ไปตัดเค้ามาเหมือนกันนะ ของที่ตัวเองถ่ายมันไม่ค่อยชัดอ่ะ ฮา)

#สรุปว่าพวกเทพๆ ถ้ารักษาวินัยได้ ก็จะเทพขึ้นไปได้อีกเรื่อยๆ ครับ







Saturday 18 February 2017

ภาค Reborn - Theme 2017

ผ่านมาเดือนกว่าแล้ว เพิ่งจะได้เขียน Blog เป็นครั้งแรก ฮาๆ

ช่วงต้นปีนี้วุ่นกับงาน FA เป็นที่ปรึกษาการเงิน case ใหม่ ที่รับเป็น Freelance
เป็น Deal ที่จะ Joint-Venture กัน เราก็มีหน้าที่ทำ Valuation ตัวธุรกิจ
ว่าราคาที่จะซื้อขาย ร่วมทุน ร่วมหุ้นกันนี่มัน สมเหตุสมผล มั๊ย

วิธีที่ใช้ในการประเมินเป็นหลักส่วนมาก ก็คือ DCF (Discounted Cash Flow) ครับ
ซึ่งมันก็ผูกกับ Assumptions, Business plan ของบริษัท + ผู้บริหาร ซะเป็นส่วนมาก
ก็ต้องรวบรวมข้อมูลมา Verify แล้วก็มาผูกสูตรทำ Model (Financial projections - P&L,BS,CF)
เสร็จแล้วก็เขียน report + ทำ present PPT ให้มันสวยๆ

การได้ไปพบเจอผู้คน นักธุรกิจชั้นนำ ได้เจอคนใหม่ๆ จะได้เปิดมุมมองใหม่ๆ บ้าง
ซึ่งผมว่ามันก็สนุกดีนะ (ถ้าไม่นับเรื่องเครียดว่าจะทำงานไม่ทัน deadline
ซึ่งงานส่วนมากที่เข้ามาก็จะประเภทเอาด่วนเอาเร็วกันทั้งนั้น ประมาณว่า 1 เดือนทันมั๊ย ฮา)
ซึ่งถ้าไม่ต้องปะทะกับ กลต. ก็ยังพอ ok
แต่ถ้าเป็นงานประเภท IFA นี่ล่ะก็ เดี๋ยวนี้หาคนทำยากมากครับ แม้ว่าค่า Fee จะดีก็ตาม

ก็ต้องขอขอบคุณที่ได้ร่วมทำงานกับทีมงานที่เก่งและดี ทำให้งานราบรื่น และผ่านไปได้ด้วยดีครับ

- - - - -

แต่นั่นยังไม่พอ ดันทะลึ่งไปลงงานวิ่ง Half Marathon ครั้งแรกในชีวิตด้วย ซึ่งยังไม่เคยวิ่งได้เลย
(ปีที่แล้ว แค่วิ่งได้ 300 เมตรก็เหนื่อยแล้ว ผ่านไป 1 ปี ต้องมาวิ่ง 21.1 km ฮา)
ก็เลยต้องซ้อม ซ้อม ซ้อม แล้วก็ซ้อม... ... ...

ปั่นงานไปด้วย ซ้อมวิ่งไปด้วย เดิมๆ วิ่งอยู่แค่ประมาณ 5-6 โล + เดิน 2 โล
พอจะมีวิ่ง Half เลยต้องเพิ่มเป็นวิ่ง 8-12 โล + เดิน 2 โลแทน
เรียกว่ากินพลังงานมหาศาลเลย นอนประมาณตี 3 ทุกวัน

งานก็พีค วิ่งก็พีค นี่ยังไม่นับเรื่องเทรดเลยอ่ะนะ ทั้งพอร์ตจริง พอร์ตซ้อม  ฮาๆ

- - - - -

มีเรื่องที่น่า surprise ผมอีกเรื่องช่วงที่กำลังซ้อมวิ่ง Half ก็คือ
ปีที่แล้วผมพยายามจะวิ่ง 5 km ให้ได้ภายใน 30 นาที แต่ทำยังไงก็ทำไม่ได้
แต่พอแค่ผมมาเริ่มซ้อมวิ่ง Half ได้แค่ไม่กี่วัน คือวันแรกผมวิ่ง 5+2 (วิ่ง 5 โล เดิน 2 โล)
แล้วก็ครั้งต่อไปก็เพิ่มระยะการวิ่งทีละกิโล เป็น 6+2, 7+2, 8+2, 9+2, 10+2
เพียงแค่ซ้อมเท่านี้เอง 5-6 ครั้ง ผมก็คิดว่าตัวเองน่าจะอึดขึ้นนิดนิดหน่อยล่ะ
ก็เลยลองกลับมาวิ่ง 5 กิโลดูว่าจะทำเวลาได้เท่าไหร่
ปรากฎว่า วิ่งทีเดียวก็ต่ำกว่า 30 นาทีเลย ต่ำกว่าสถิติที่ดีที่สุดปีที่แล้วเป็นนาทีเลย ฮา





อันนี้ถือว่า surprise มาก ก็เลยสรุปได้ว่า ปีที่ผ่านมาเราซ้อมวิ่งระยะน้อยไปนี่เอง ถ้าอยากจะวิ่งให้ดีขึ้น ก็ต้องซ้อมให้หนักขึ้น (ในวิธีที่ถูกต้องและเหมาะกับเราเองด้วย) ซึ่งผมก็คิดว่า น่าจะนำไปประยุกต์ใช้กับเรื่องการเทรดหรือเรื่องอื่นๆ ได้เช่นกันครับ คือ พอโจทย์มันยากขึ้น เราก็ต้องสร้างสรรค์หาวิธีการทำมันให้ได้ แล้วก็ซ้อมๆๆ











สำหรับงานวิ่ง Half งานแรกก็ผ่านไปด้วยดีครับได้ตามเป้าภายใน 3 ชั่วโมง ตั้งเป้าเอาไว้แค่ว่าจะวิ่งชั่วโมงละ 7 กิโลสม่ำเสมอ ตอนแรกก็คิดว่าจะเดินเยอะ แต่ปรากฎว่าอากาศที่บุรีรัมย์เย็นมากตอนปล่อยตัวประมาณ 17-18 องศา ใส่เสื้อกล้ามไปบางๆ พอวิ่งๆ ไป มันก็เลยไม่หนาวไม่ร้อนกำลังดี ทำให้ไม่เหนื่อยมากครับ ก็เลยจะวิ่งซะเป็นส่วนใหญ่ เดินน้อยมากๆ ก็เลยทำได้ตามเป้าหมายครับ








- - - - -

จบเรื่องงานและเรื่องวิ่งล่ะ ต่อไปก็คือ การกำหนด Theme ชีวิตในปี 2017 ครับ
ปีที่แล้วผมกับคุณภิริตั้ง Theme เอาไว้ว่า "ร่ำรวยเงินทอง และสุขภาพดี"
Theme ปีนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม แต่จะเพิ่มคำว่า "Focus" เข้ามาด้วยอีกคำนึง
เพราะรู้สึกว่าชีวิตมันกระจัดกระจายไปหน่อยในหลายๆ เรื่อง

ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น การอ่านหนังสือ 
รู้สึกว่าอ่านมากเกินไป ก็ได้แต่อ่านๆๆ
ซึ่งเรารู้สึกว่าการอ่านเรื่องที่ดีๆ มา 1 เรื่องเนี่ย แม้ว่าเราจะเข้าใจ
แต่เรายังไม่สามารถดูดซึม ดูดซับ skill เรื่องนั้นมาเป็นส่วนหนึ่งของเราได้จริงๆ
(เช่น การอ่าน Principles 1 รอบ หรือ การฟัง clip พี่ต้าน live เรื่องนึง 1 รอบ 
คือ เราเข้าใจ แต่มันยังไม่ได้กลายเป็นนิสัยหรือ skill ของเรา)

คือ มันจะกลายมาเป็นส่ว่นหนึ่งของเราได้ ก็โดยการผ่านการทำมันซ้ำๆ ติดต่อกันนานๆ 
จนมันกลายมาเป็น "นิสัย" หรือ "Skill" ของเราอย่าง "ถาวร" แน่นหนึบนั่นเอง 

ซึ่งคำว่า "Focus" ในปีนี้ของผมก็คือ ผมคิดว่าผมจะสร้างนิสัยที่ดีที่ผมต้องการขึ้นมา
ให้ได้ประมาณ 2 เดือน (60วัน) ต่อ 2 skill นิสัยที่ง่ายๆ พร้อมกันนะครับ ฮา
ถ้าทำได้ครบปี ก็น่าจะได้คุณลักษณะนิสัยที่ดีเพิ่มขึ้นมาในชีวิตบ้างอีกซัก 10-12 นิสัย
ฟังดูดีมาก 555 

ปีที่แล้วที่คิดว่าได้ skill นิสัยมาก็คือ การออกกำลังโดยการวิ่งต่อเนื่องนั่นเอง (ตามชื่อ Theme)
ส่วนปีนี้ที่เริ่มทำมาได้ตั้งแต่ต้นปี ก็คือ การจดบันทึกพวก To do list วันต่อไป (วันละ 3 อย่างพอ),
การนับแคลอรี่อาหารที่กินแต่ละวัน, แคลอรี่ที่ Burn ออกในวันที่ออกกำลัง
การจดบัญชีรายรับ - รายจ่ายแต่ละวัน เอาง่ายๆ แค่นี้ก่อนครับ
พอครบ 60 วันแล้ว ก็ค่อยเริ่มอีก 2 นิสัยต่อไปครับ

- - - - -

ช่วงนี้เป็นช่วงรอยต่อระหว่างงาน FA case ใหม่ ก็เลยกลับมาเขียน Blog ได้
ก็จะพยายามกลับมาเขียนเรื่องการเทรดต่อให้ได้แบบเป็นเรื่องเป็นราวนะครับ ฮา


#จบข่าว



Saturday 31 December 2016

ภาค Reborn - สรุปเรื่องการเทรดปี 2016

มาสรุปเรื่อง performance การเทรดปี 2016 บ้างไรบ้าง

พอร์ตหลักผมเน้นเทรดหุ้นไทยครับ
เพราะคิดว่าง่ายที่สุดแล้วถ้าเทียบกับตลาดอื่นอ่ะนะ + เหมาะกับรายย่อยแบบเราๆ ด้วย
(ตลาดอื่นก็เช่น TFEX, Commodities, FX, Fututre, option อาไรพวกนั้นแหละ)

สำหรับตัวผมเน้น Portfolio structure เป็นหลักเหมือนเดิม ก็ใช้แบบที่พี่ต้านสอนนั่นแหละ
ลอกมาเลย Return = Cash + Alpha + Beta เหมือนเดิม

Beta คือ เน้น Close system เป็นหลัก ก็พวก KZM, Zone trading, Sniper อาไรพวกนั้น
Alpha ก็เน้น Rebalancing คู่กับ Cash เป็นหลัก ไม่ได้มีอาไรซับซ้อน
วิธีการเทรดก็ไม่ได้เน้นอาไรเป็นพิเศษ เป็นรวมมิตรสไตล์ ฮาๆ

ตั้งใจจะเทรดไม่เกิน 15 ตัวหมุนเข้าๆ ออกๆ แต่เอาเข้าจริงๆ ก็มีทะลุไป 20 ตัวบ้างเป็นบ้างครั้ง
เทรดแบบไม่มี Stop loss เพราะฉะนั้น จะปิด order เฉพาะไม้ (นัด) ที่กำไรเท่านั้น
Win rate ก็เลยเท่ากับ 100% (จริงๆ มีเอากำไรมา net ไม้ที่ติดทิ้งไปบ้างแต่ไม่ถึง 1%)

สรุปผลการเทรด 1 ปี

ยิงเข้าไปทั้งหมด 651 นัด
ปลดกระสุนออกมาเก็บ cashflow กินได้ทั้งหมด 539 นัด
ดังนั้นยังมีกระสุนติดอยู่ในพอร์ตอีก 112 นัด (คิดเป็นสัดส่วนเท่ากับ 20% ของที่ยิงออกไปทั้งหมด)

กระสุนที่ยังติดนั้น มีทั้งที่ติดจริงๆ (ขาดทุนอยู่) กับที่กำไรแล้ว run trend อยู่ผสมๆ กัน
(เป็น Beta + Alpha ประมาณ 50% ส่วนที่เหลือเป็น Cash reserve อีก 50% เป๊ะเลย 555)

ขนาดกระสุนเฉลี่ยต่อนัด เท่ากับ A บาท (ไม่เปิดเผย)
ขนาดกำไรเฉลี่ยต่อนัด เท่ากับ B บาท (ไม่เปิดเผย)

แต่ B/A เท่ากับ 4.5% ต่อนัด (นับเฉพาะนัดที่ปิดแล้ว แปลว่ายิง 539 นัด เฉลี่ยทุกนัดได้ 4.5%)
นัดที่ได้มากที่สุดประมาณ 70%, นัดที่น้อยที่สุดประมาณ 0.1%

กระสุนนัดนึงยิงแล้วจะติดอยู่ในพอร์ตนานประมาณ 33 วัน
(Max ก็ 365 วันเลยอ่ะนะ, Min ก็ประมาณ 1-5 นาที)



กราฟที่เอามา plot ก็นับ cashflow ที่ทำได้แต่ละเดือนสะสมกันมารวมกันทั้งปีเท่ากับ 22.5%
ถือว่าผ่านเกณฑ์ตัวเอง (ห่วย คือ เดือนละ 0.5%, ปานกลาง 1%, ดีก็ 2% ขึ้นไปต่อเดือน)

ไม่ได้เน้น return อะไรมาก เน้นที่ความสม่ำเสมอ, Mental สมบูรณ์ และ ใช้เวลาในการ Monitor น้อย

ส่วน Equity ก็เอาเฉพาะจุด MAX DD ของแต่ละเดือนมา plot ครับ

เดือนที่พลาดก็คือ May ในเดือนนั้นมีหุ้น IPO ตัวนึง เป็นบริษัทของน้องเพื่อนจะเข้าตลาด
เจ้าของบริษัทมั่นใจมากบอกมาแน่ (อีกล่ะ 555) เลยหน้ามืดใส่ไปเยอะกว่าตัวอื่น ปรากฎว่าเปิดมาที่ราคา High แล้วหลังจากนั้นลงพรวดๆ เลยเกือบ 50% (ซึ่งไอ่ตอนลงนี่เราก็รับมาตลอดทางอีก ฮ่าๆๆ)
ผลก็อย่างที่เห็น DD กระจายเลยทีเดียว (ซึ่งตอนนี้ก็ยังติดอยู่เต็มมือจนถึงสิ้นปี)

ส่วนอีกเดือนที่ DD หนัก ก็คือ Oct อันนี้คงทราบเหตุผลกันดีทุกคนนะครับ
สรุป ณ วันสิ้นปี ค่า DD อยู่ที่ -6.39%


สรุปปีนี้พอร์ทหลักไม่มีปัญหาอะไร จิ้มๆ ไปเรื่อยๆ เท่าที่โอกาสเอื้ออำนวน
Mental ก็สมบูรณ์ดี แต่มีอีกส่วนที่ทำให้กำไรหายไปประมาณ 20% ก็คือ
ส่วนใหญ่จะเอาเงินไป Long Put option (ส่วนมากจะ otm) ซึ่งโดนกินเรียบเหมือนเดิม 555
จริงๆ ก็ทำตามแผนอ่ะนะ คือ เอาไว้ Hedging port แต่ถ้าอ่าน Event กับ Volatility ได้ดีกว่า่นี้
กำไรก็น่าจะเพิ่มขึ้น (ไม่ใช่กำไรหายไปแบบนี้) ก็เป็นสิ่งที่ต้องการพัฒนาปรับปรุงต่อไป


การบ้านสำหรับปีหน้า ก็คือ เราต้องจะ Focus ล่ะ
ปีที่ผ่านมา กระสุนแต่ละนัดค่อนเล็กและข้างกระจัดกระจาย ยิงทิ้งยิงขว้างไปก็เยอะ
เพราะชอบคิดว่ามีกระสุน unlimit พอร์ตเป็นอมตะ ยิงได้ไม่อั้น
ปีหน้า จะจับกระสุนมัดรวมกันให้ใหญ่ขึ้นประมาณ 3-5 เท่าล่ะ
จับมันมาใส่ LEGO system บ้างไรบ้าง

แล้วก็จะพัฒนาระบบการบันทึกบัญชีใหม่ล่ะ
อยากจะได้บัญชีที่แบบว่าได้ Feeling ของการสะสม Asset อ่ะ ไม่ได้เห็นแต่ Cashflow รัวๆ
แล้วก็อยากจะได้บัญชีแบบที่ว่า เห็นปุ๊บก็รู้เลยว่าตอนนี้กระสุนมันอยู่ตรงโซนไหนแล้ว
จะ take action ยังไงต่อ ก็รู้ได้ทันที (บัญชีแบบโบราณที่ใช้อยู่มันก็ยาวลงมาเรื่อยๆ อ่ะนะ
ดูยากมาก ยิ่งช่วงปลายๆ ปี นี่มีหลายร้อยบรรทัดเลย ยิงรัวเกินไปด้วยแหละนะ ต้องรวบกระสุนด้วย  + ค่า Stat ที่เก็บมาทั้งปี ยังเอามาเล่นอาไรได้อีกเยอะเลย ปีหน้าสนุกกว่าเดิมแน่ ขี้เกียจเขียนล่ะ 55)





Friday 30 December 2016

ภาค Reborn - "จงออกนอกนอก Comfort Zone - Go Run!!!" #ภาคสรุป 2016

ปีนี้ตั้งเป้าเป็นธีมกับคุณภิริว่า "เราจะสุขภาพดีไปด้วยกัน"
ถือว่าเรื่องการวิ่งนี่แหละที่ทำให้เราออกนอก Comfort Zone ได้สำเร็จชัดเจน

จริงๆ ก็ไม่ได้ตั้งเป้าอาไรชัดเจนหรอกนะ รู้แต่ว่าต้องไปลงงานวิ่งมินิ 10 km ให้ได้
ก็เริ่มซ้อมไปเรื่อยๆ พอจะถึงวันวิ่งจริงงานแรกก็มีดราม่าเลย
(คือ ลงวิ่งงานแรกก็โดนโกงเลย #งาน Let's Rock Run อ่ะ 555
สรุปงานนี้ไม่ได้วิ่ง แถม Organize ผู้จัดก็เชิดเงินคนรับสมัครไปหมดเลย
นักวิ่งก็แจ้งความ ออกข่าวกันให้พรึ่บ แต่ตำรวจก็ไม่สามารถจับคนโกงได้ แปลกดีจุง)



เราก็เลยได้ตระหนักว่า อ๋อ! งานนี้มันไม่ได้เป็นการกุศลนิ
หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็เลยตกลงกับคุณภิริว่า ต่อไปงานวิ่งทั้งหมดต้องเป็นงานการกุศลนะ
ก็คือ เราไปวิ่งได้สุขภาพ + ได้บุญช่วยเหลือผู้อื่นด้วย ต้องเป็น win-win แบบนี้สิถึงจะแจ๋ว
(นอกจากนี้ การสมัครงานวิ่งก็เป็น skill นะ คือ โคตรแย่งกันสมัครเลยแหละ 555)

สรุปแล้วทั้งปีก็ลงวิ่งมินิ 10 km ไปทั้งหมด 13 งาน เฉลี่ยแล้วเดือนละ 1 งานครับ
ก็ถือว่าเป็นการเปิดโลกใหม่จริงๆ ไม่เคยทำอาไรแบบนี้มาก่อน
คือ คืนวันเสาร์ต้องรีบนอนตั้งแต่ 3-4 ทุ่มแล้วก็นอนไม่ค่อยหลับ เพราะปกตินอนดึก
ซักตี 3 ก็ต้องตื่นขึ้นมาอัดขนมปังล่ะ เพื่อเตรียมไปงานวิ่งตอนตี 5 กว่าๆ
ช่วงแรกๆ ก็จะรู้สึกว่า กรูมาทำอาไรที่นี่ว่ะเนี่ย เช้ามืดวันอาทิตย์แท้ๆ ผู้คนยังพากันหลับไหล
แต่กรูแหกขี้ตาตื่นมาวิ่ง 10 km จริงๆ แทบไม่ได้นอนเลยด้วยเพราะนอนไม่หลับ หึหึหึ

งานแรกๆ ก็ตื่นเต้นอ่ะนะ บรรยากาศแปลกดีไม่เคยเห็น พอไปทุกๆ เดือน ก็เริ่มชินล่ะ
ก็ได้พบความจริงอีกข้อว่า จริงๆ แล้วคนมางานวิ่งกันเยอะมากๆ เยอะจนน่าประหลาดใจเลยแหละ

แล้วมันลบความเชื่ออีกข้อในใจของผมก็คือ ตอนเด็กๆ ผมจะเชื่อว่าคนที่ตื่นเช้ามาวิ่งวันละ 10 km
นี่ก็มีแต่นักมวยนี่แหละ (ดูจากทีวีเวลาไปถ่ายคนที่เป็นแชมป์โลกซ้อมกัน)
มันเลยทำให้ผมคิดไปเองว่า คนที่วิ่งวันละ 10 km ได้นี่มีแต่นักมวย หรือนักวิ่ง เท่านั้น 555

แต่พอมางานวิ่งจริงๆ แล้วจะเห็นได้เลยว่า เฮ้ย! ใครๆ ก็วิ่ง 10 km ได้ว่ะ อาซิ้ม อาม่า คุณตาแก่ๆ อายุ 70 เด็กเล็กๆ อายุไม่ถึง 10 ขวบ หรือแม้แต่น้องหมาที่วิ่งตามเจ้าของก็ตาม เค้าก็วิ่งกันไปได้เรื่อยๆ เลยแฮะ

ซึ่งพอเราทำลายกำแพงความเชื่อที่ฝังอยู่ในใจออกไปได้ เราก็จะพบว่าเราเองก็ทำได้เหมือนกันนะ



คราวนี้พอดูสรุปจาก App Endo ก็จะเห็นภาพรวมที่วิ่งทั้งปี ของคุณภิริจะได้ 1000 km ตามเป้าของเค้าอ่ะนะ ผมเองจริงๆ ก็ไปวิ่งด้วยกันทุกครั้งอ่ะแหละ อาจจะมีไปได้ไปด้วยซัก 2-3 ครั้ง แต่ระยะรวมต่างกันเกือบ 200 km แน่ะ 55 คงเป็นเพราะช่วงเดือนแรกๆ ผมยังไม่ได้ใช้ app จับระยะวิ่ง ประกอบกับตอนหัดวิ่งช่วงแรกมีอาการบาดเจ็บด้วย ผมคิดว่าระยะวิ่งรวมทั้งปีของผมเองอย่างน้อยคงไม่ต่ำกว่า 850 km แน่ๆ ล่ะ ฮาๆ

ส่วนข้างล่างก็คือ Stat ที่จะเก็บบันทึกไว้สำหรับปีนี้ครับ



ช่วงเริ่มต้นนี่ในเวลา 1 ชม. จะวิ่งได้ประมาณ 6.7 km แบบหึดจับ
แต่ผ่านไป 1 ปี ตอนนี้จะวิ่งได้ประมาณ 8 km แบบไม่เหนื่อยเท่าไรแล้วครับ




ส่วนระยะที่ผมโฟกัสมากที่สุดก็คือระยะ 5 km ช่วงแรกที่วิ่งจะใช้เวลาประมาณ 40 นาที หรือ pace 8 นิดๆ
ผ่านไป 1 ปี 5 km ก็จะวิ่งอยู่ที่ประมาณ 30 นาทีครึ่ง หรือ pace 6 นิดๆ ถือว่าดีขึ้นประมาณ 25%




คือผมก็ลองวิ่งดูหลายๆ แบบแล้วอ่ะนะ อยากให้วิ่ง 5 km ได้ต่ำกว่า 30 นาที
มันเหมือนกับว่า ถ้าเราฝึกเองแบบบ้านๆ มันก็จะสุดอยู่ที่ตรงนี้ล่ะ
ถ้าอยากจะขยาย capacity ให้ดีกว่านี้ ก็คงต้องไปเอาโปรแกรมที่นักวิ่งฝึกมาลองล่ะ
(แต่ในใจลึกๆ มันก็ยังคิดอยู่ว่า จริงๆ แล้วทำไมกรูต้องวิ่งเร็วๆ ด้วยฟระ)

บรรทัดสุดท้าย เป้าหมายสำหรับการวิ่งปีหน้าคือ ลงวิ่งฮาฟมาราธอน 21 km ครับ
สมัครไปแล้วด้วยงานบุรีรัมย์มาราธอนเดือน ก.พ. ที่จะถึงนี้ ยังไม่เคยวิ่งได้ถึงเลย
กะไปตายเอาดาบหน้า 555 ต้องทำลายกำแพงความเชื่อให้ได้เหมือนเดิมคนับ



Fighto!!!