Friday 21 March 2014

***Mar 21, 2014 - เราต้องอย่าโดนหลอก

Blog โดนลบไป เสียวเลย เกือบกู้กลับมาไม่ได้ มาหาว่า Blog เราเป็นสแปม 55 ไม่รู้ไปพิมพ์โดนคีย์เวริด์คำว่าอาไร ต่อไปต้องพยายามพิมพ์ภาษาอังกฤษแบบผิดๆ โรบอทมันจะได้อ่านไม่ออกหรือทับศัพท์น่าจะ work กว่านะ

กลับมาเรื่องของการเทรด
เรามักจะถูกเหยื่อที่เค้าเอามาล่อให้ติดกับเสมอ และมนุษย์ก็เป็นสัตว์แห่งความโลภและความกลัวอยู่แล้วการตัดสินใจจึงมักมีอารมณ์มาเกี่ยวข้องเสมอ เพราะฉะนั้นเรื่องของ Mental จึงสำคัญ (ที่สุด)
แต่วันนี้เราไม่ได้จะมาพูดเรื่อง Mental เราจะมาพูดเรื่องของเหยื่อที่เค้าเอามาล่อ

แน่นอนที่สุด สิ่งที่เทรดเดอร์หรือคนทั่วไปต้องการคือ ผลกำไร ซึ่งถูก drive มาจากความโลภ
และยังมีความกลัวอีก ก็คือ กลัวทั้งกำไรหาย และ เงินต้นจะหาย
ซึ่งสิ่งที่แหละที่เป็นจุดอ่อนสำคัญที่เจ้ามือเอามาใช้จัดการกับเรา (เสมอ)
(คำถามแรกที่คนทั่วๆ ไป มักจะถามเทรดเดอร์อยู่เสมอก็คือ คุณได้ return ปีละเท่าไหร่ เดือนละเท่าไหร่ เฉลี่ยวันละเท่าไหร่ คือ คิดว่ากรูอยากออกมาเทรดบ้างอ่ะ มรึงเทรดได้วันละเท่าไหร่วะ กรูอยากจะทำบ้าง => คำถามที่ถูกต้องจริงๆ แล้วควรจะเป็น เฮ้ยๆ เวลาเทรดนี่เค้าป้องกันเงินต้นยังไงกันฮะไม่ให้สูญหาย เราจะทำยังไงไม่ให้เงินต้นหายดี กำไรเราไม่ได้สนใจหรอก เราสนใจแค่ว่าเงินต้นกรูไม่หายก็พอ ซึ่งคำถามแบบนี้ คนทั่วๆ ไป ก็คงไม่ถามแน่ เพราะทุกคนจะลงแรงลงมือทำอะไรมักคิดถึงผลตอบแทนก่อนเสมอ ซึ่งก็ผิดอีก เพราะจริงๆ แล้วคุณควรจะหา "ฉันทะ" ของตัวเองให้เจอก่อน และค่อยตามด้วย วิริยะ จิตตะ วิมังสา... )

เรามักจะโลภและกลัวเสมอ ดังนั้นเราจึงมักจ้องมองกราฟหรือหน้าจออยู่ตลอด
ดังนั้นเจ้ามือ จึงก็เลยออกแบบระบบซับซ้อนอาไรซักอย่างก็ไม่รู้มาคอยหลอกเรา
ซึ่งน่าจะศึกษามาแล้วอย่างดีจากงาน research หลายๆ ด้าน โดยมีจิตวิทยาและปรัชญาเป็นหลัก

ถ้าคิดว่าเราเป็นเจ้ามือซะเอง เรามีทรัพยากรทุกอย่าง มีองค์ความรู้ทุกอย่าง
เราจะออกแบบระบบมากินคนอื่นได้ยังไง

ลากขึ้น ลากลง ไสไปไสมา โดยใช้ประโยชน์จากความโลภและความกลัว
ซึ่งก็คืออารมณ์ของมนุษย์ปกตินั่นเอง

logical thinking ระบบการคิด ระบบการเทรด
อาไรๆ ที่มนุษย์ใช้ในกระบวนการคิด ก็ reverse มันซะ
เหมือนรู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง

เวลาราคามันพุ่งแรงๆ เราก็อยากจะ long ตาม ก็อาจจะเจอเจ้ามือตบกลับ
ถ้าไม่ long ก็อาจจะตกรถได้
เวลาลงแรงๆ กลัวกำไรหายก็รีบขาย
หรือกลัวเงินต้นหาย ก็ไปตั้ง Stop loss เอาไว้ ก็เจอ Stop Hunt อีก

สิ่งเหล่านี้จิงๆ แล้วมันก็เป็นแค่ภาพลวงตาระยะสั้น ซึ่งดึงดูดให้คนทั่วไปสนใจหรือ focus อยู่แต่กับสิ่งเหล่านี้ ซึ่งหลักๆ ก็คือ ผลตอบแทนหรือกำไร ซึ่งเป็นสิ่งที่เค้าเอามาล่อเรา

วิธีที่จะแก้ง่ายๆ ก็คือ ให้มองทุกอย่างเป็นองค์รวม
สร้างภาพในหัวออกมาให้ได้ ว่าถ้าราคาวิ่งไปทางไหน ความเสี่ยงจะเป็นยังไง
แผนการรองรับเป็นยังไง ถ้าผิดจะแก้ยังไง ถ้าถูกจะทำยังไงต่อไป
เพื่อป้องกันการลนลาน การทำตามอารมณ์ชั่ววูบ
ไม่จำเป็นต้องดูกราฟตลอดเวลา แต่ต้องรู้ว่า ถ้ามันเป็นแบบนี้ แบบนี้ แบบนี้ ต้องทำอาไรต่อบ้าง...


แล้วเราจะเล่นเกมส์นี้ให้ชนะได้ยังไง??
คำตอบก็อยู่ที่ตัวเราเอง
เรารู้ว่าเกมส์มันก็เป็นแบบนี้ กราฟมันก็มีแค่ 2 มิติ ไม่ขึ้นก็ลง
ออกข้างๆ บ้างชั่วคราว แต่สุดท้ายก็ต้องขึ้นหรือลงอยู่ดี

เรามีระบบการเทรด ที่รู้ว่ายังไงก็ใช้ได้เสมอ
เพราะว่าเวลาที่ราคามันจะขึั้นหรือจะลง มันก็ต้องขึ้นหรือลงด้วยกระบวนท่าแบบนี้แหละ
ซึ่งก็มีแค่ไม่กี่แบบ แต่ไม่ถูก 100% เพราะไม่มี Holy grail บนโลกใบนี้
และมีเจ้ามือพร้อมจะหลอกและเขมือบเราเสมอ

เรามี MM ที่คอยควบคุมความเสี่ยง เวลาผิดทาง และทวีผลตอบแทนยิ่งขึ้นเวลาถูกทาง

เรามีแผนการและกลยุทธ์ที่รัดกุม มีเป้าหมายที่ชัดเจน

เรามีบันทึกการเทรด ที่บันทึกสิ่งที่ผิดพลาด ที่เราจะเก็บไว้เป็นประสบการณ์ว่าแบบนี้มันใช้ไม่ได้ผลนะ
แบบนี้มันใช้ได้ผล เราคอยปิดจุดอ่อน และปรับปรุงตัวเราให้ดีขึ้นได้เสมอ

และที่สำคัญเราฝึกฝนและพยายามอย่างหนัก ในแบบที่คนธรรมดาไม่ทำกันแน่ๆ

เราจะเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ!!!

Sunday 16 March 2014

***Mar 16, 2014 - ต้องเริ่มฝึกใหม่หมดอีกล่ะ

ตอนนี้กำลังอ่านเรื่อง The Talent Code กะ 52 วิธีเปลี่ยนคนธรรมดาให้กลายเป็นอัจฉริยะ แปลกดี และสนุกดี สไตล์คล้ายๆ กับ Outliners เลย แต่อันนี้เขียนโดย Daniel Coyle ซึ่งอ่านแล้วมันก็ตรงดี มีหลักการดี ทำให้เราคิดว่าน่าจะต้องมาปรับวิธีการฝึกฝนใหม่อีกครั้ง

คำคมโดนใจประจำเล่ม
"พรสวรรค์มีค่าพอๆ กับเกลือนั่นแหละ สิ่งที่แบ่งแยกระหว่างผู้มีพรสวรรค์กับผู้ที่ประสบความสำเร็จจริงๆ คือ ความมุ่งมั่นและการฝึกฝนต่างหาก" - สตีเฟน คิง
"ความเป็นเลิศถือเป็นนิสัยอย่างหนึ่ง" - อริสโตเติล

นิยามของคำว่า เก่งกาจ (Talent) คือ การครอบครองทักษะที่สามารถทำซ้ำได้โดยไม่ขึ้นอยู่กับขนาดของร่างกาย (Physical) เพราะฉะนั้น => เป้าหมายของเรา ก็คือ "ต้องครอบครองทักษะที่สามารถทำซ้ำได้"
แล้วทักษะ คือ อะไร?
ทักษะ คือ ฉนวนที่ห่อหุ้มวงจรประสาทและเติบโตไปตามสัญญาณบางอย่างที่ได้รับ

สรุปว่า เรา คือ มนุษย์ไมอีลินนั่นเอง 555
ถ้ามีเวลาจะมีเขียนเรื่องนี้ต่อ ค้างไว้ก่อน

ขอทิ้ง Outline เอาไว้ก่อน

การฝึกฝนอย่างล้ำลึก
จุดกลมกล่อม "ความผิดพลาดจะทำให้เราเก่งขึ้น"

=> การพยายามดิ้นรนด้วยแนวทางที่มีเป้าหมายชัดเจน (โดยฝึกฝนตรงบริเวณสุดขอบความสามารถ ซึ่งคุณมักจะทำผิดพลาด) จะทำให้คุณเก่งขึ้น พูดง่ายๆ ก็คือ เมื่อคุณถูกบีบให้เคลื่อนไหวช้าลง ทำผิดพลาด และพยายามแก้ไข (แบบเดียวกับเวลาที่คุณพยายามเดินพื้นน้ำแข็งที่ลื่นๆ ซึ่งต้องล้มลุกคลุกคลานไปตลอดทาง) ในที่สุดคุณก็จะเคลื่อนไหวได้อยา่งปราดเปรียวและสง่างามโดยที่ไม่รู้ตัว)
=> ณ วินาที ที่คุณตกอยู่ในสถานการณ์ที่... บางสิ่งที่ล้ำลึกและอยู่นอกเหนือขอบเขตการรับรู้ของคุณก็เริ่มทำงาน คุณหยุดและสะดุดอยู่แวบหนึ่ง จากนั้นก็พยายามหาคำตอบ คุณเผชิญกับการกระเสือกกระสนในเสี้ยววินาทีและชั่วเวลาเสี้ยววินาทีนี้แหละที่สร้างความแตกต่างอย่างมหาศาล คุณไม่ได้ฝึกฝนหนักขึ้น แต่คุณกำลังฝึกฝนอย่างล้ำลึกขึ้นต่างหาก
=> ระหว่างที่เราฝึกฝนอย่างล้ำลึก โลกจะไม่ดำเนินไปตามกฎเกณฑ์ปกติ เราจะใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ความพยายามเพียงเล็กน้อยของเราจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่และยั่งยืน... เคล็บลับสำคัญอยู่ที่การเลือกเป้าหมายให้เกินขอบเขตความสามารถในปัจจุบันไปเล็กน้อย... เลือกเป้าหมายที่ต้องดิ้นรนพยายามจึงจะทำสำเร็จ (คุณจะไม่ได้อะไรจากการตะบี้ตะบันฝึกอย่างไร้ทิศทางหรอกครับ คุณต้องเอื้อมมือออกไปคว้าเป้าหมายที่ต้องการต่างหาก)
=> หัวใจสำคัญคือการค้นหาจุดกลมกล่อม (sweet spot) ครับ "ที่จุดดังกล่าว ช่องว่างระหว่างสิ่งที่คุณทำได้แล้วกับสิ่งที่คุณอยากทำให้ได้นั้นจะมีขนาดพอเหมาะพอดี คุณค้นพบจุดกลมกล่อมเมื่อไหร่ การเรียนรู้ก็จะแล่นฉิว"

กฎเหล็ก วงจรไหนที่ถูกกระตุ้นให้ทำงานบ่อยที่สุดและรุนแรงที่สุด เจ้าตัวติดตั้งเครือข่ายความเร็วสูงก็จะมุ่งไปยังวงจรนั้น ส่งผลให้วงจรประสาทที่ถูกกระตุ้นบ่อยๆ มีเครือข่ายที่ดีกว่า ส่วนวงจรที่ถูกกระตุ้นไม่บ่อยนักและไม่ค่อยรุนแรงก็จะมีเครือข่ายที่ด้อยกว่า

=> กฎ 3 ข้อของการฝึกฝนอย่างล้ำลึก "ลองอีกครั้ง ล้มเหลวอีกครั้ง แต่ล้มเหลวได้ดีขึ้น"
กฎข้อที่1: ว่าด้วยการรวมหน่วย => ทำความรู้จักกับทักษะในภาพรวม, แบ่งย่อยทักษะออกเป็นหน่วยเล็กๆ, ชะลอความเร็ว
กฎข้อที่2: ทำซ้ำ
กฎข้อที่3: ลับประสาทให้คม

วงจรของการฝึก
  1. เลือกเป้าหมาย
  2. พยายามไปให้ถึงเป้าหมาย
  3. ประเมินช่องว่างระหว่างเป้าหมายกับระยะที่เอื้อมถึง
  4. ย้อนกลับไปขั้นแรก


การจุดประกาย 
"ถ้าเธอทำได้ ทำไมฉันจะทำไม่ได้ล่ะ"

=> เหมือนนักเทนนิสจากรัสเซีย นักกอล์ฟจากเกาหลีใต้ หรือนักเบสบอลจากเกาะคูราเซา ยกตัวอย่างให้ชัดเจนเลยก็คือ ถ้าพี่ต้าน คือ คนไทยคนแรกที่ตั้ง Hedge Fund ได้สำเร็จ (รวมถึงเป็น Trader ที่ประสบความสำเร็จในระดับ inter) เด่ว เราก็จะมี trader ที่เป็นคนไทยที่ประสบความสำเร็จตามมาอีกเป็นขโยง เพราะมีพี่ต้านเป็นคนจุดประกาย (และ train ให้ด้วย อุอุ ^ ^) แต่กระนั้นอย่างต่ำก็ต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 5 ปี นับตั้งจากที่เปิดตัว Mudleygroup เพราะว่าการฝึกฝนอย่างล้ำลึกก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยประมาณ 10,000 ชั่วโมงขึ้นไปอยู่ดี

=> มีทรัพยกรจำกัด, ขาดแคลน มักนำไปสู่ดิ้นรนเพื่อไปสู่สิ่งที่ดีกว่า เกิดความคิดสร้างสรรค์ ดีกว่าที่มีทรัพยากรอย่างล้นเหลือ (จิตใต้สำนึกมันจะ anti ว่า แล้วกรูจะพยายามไปเพื่ออะไรฟะ ในเมื่อมันดีพร้อมอยู่แล้ว)

การฝึกสอนระดับปรมาจารย์
"ประเด็นไม่ได้อยู่ที่การเล็งเห็นความเก่งกาจหรอกครับ ผมไม่เคยมองหาคนเก่งเลย ก่อนอื่นเราต้องสอนพื้นฐานเสียก่อน เดี๋ยวก็รู้เองว่ามันจะออกมาเป็นยังไง" - โรเบิร์ต แลนส์ดอร์ป 

Friday 14 March 2014

***Mar 14, 2014 - แกะเทปพี่ต้านต่อเก็บไว้อ่าน

ฟังจากไฟล์ที่พี่ต้านพูด
เลยเอามาสรุปเก็บไว้ครับ

สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตเทรดเดอร์ถ้าจะก้าวไปสู่ระดับ inter

  1. ต้องเคารพในอาชีพตัวเอง สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ "เงินทุน" หรือ "กระสุน" เพราะมันคือ โอกาสที่จะทำให้เรายังสามารถอยู่ในอาชีพนี้ต่อไปได้ หมดเงิน ก็คือ หมดโอกาส = จบข่าว ไม่มีโอกาสแก้ตัว เราผิดได้ ไม่ใช่ว่าผิดไม่ได้ แต่เราอย่าทำลาย bullet หรือเงินทุนตัวเองจนหมด
  2. เคารพในพื้นฐาน และรากฐานที่สำคัญในการเทรด คุณอาจจะเก่งแล้ว expert แล้ว แต่คุณยังต้องฝึกพื้นฐานอยู่สม่ำเสมอ (เพิ่ม, รักษาไมอีลิน) ให้ฝึกท่าพื้นฐานให้แน่นก่อน แล้วค่อยไปเล่นท่ายาก พื้นฐาน คืออะไร? พื้นฐาน คือ "เราต้องลดต้นทุนในสินทรัพย์ที่เราลงทุน หรือ ต้องการครอบครองให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม" นี่คือจุดอ่่อนที่สำคัญ เพราะคนส่วนใหญ่หวังแต่ capital gain ไม่ได้หวังลดต้นทุน ตอนตลาดดีก็ได้กำไรไปเรื่อยๆ แต่พอตอนสุดท้ายจะติดดอย ถ้าไม่ยอม cut เงินทุนก็จะหายไปด้วย... เอวัง => วิธีบันทึกต้นทุน + การลดต้นทุนที่ถูกต้องก็ คือ บัญชีของ opt 2 นั่นเอง
  3. บุคคลที่เน้นความเสี่ยง ไม่เหมาะสมที่จะทำงานเป็นเทรดเดอร์ระดับสูง => เทรดเดอร์ที่เน้นความเสี่ยงเป็นได้แค่เพียงทัพหน้า ไม่สามารถเป็นแม่ทัพได้ => บริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม บนทรัพยากรที่มีจำกัด
  4. ต้องพยายามเรียนรู้ด้วยตัวเองอยู่เสมอ อย่ารอคนมาป้อน อย่าเรียกร้องมากเกินไป + Positive thinking + อดทนระดับสูงสุด + Learning by Doing "Prove it"

    สิ่งที่สำคัญกว่านั่น คือ วินัย เพราะต่อให้พี่ต้านป้อนเรา ให้ระบบสุดยอด แต่ความเข้าใจน้องไม่ได้ วินัยน้องก็ไม่ได้ สุดท้ายมันก็ fail อยู่ดี

    ในโลกของความเป็นจริง ไม่มีคำว่ายุติธรรม ถ้าวันนี้เค้าเหนือกว่าเราทุกอย่าง แล้วเราก็ฝึกฝนไปเรื่อยๆ จนอยู่รอดได้ สิ่งที่เราได้มาก็คือความแข็งแกร่ง แล้วในวันหนึ่งถ้าเกิดเรามีความพร้อมเท่าเค้าขึ้นมามันจะเป็นยังไงล่ะ จะเกิดอะไรขึ้นล่ะ

    อาชีพ Trader คือ long term working ต้องมองอะไรให้ยาวๆ เช่น หัวหน้าสั่งให้เรา day trade แต่ให้เราใช้กราฟ week นะ ถ้าเราอคติ ego จัด ก็ไม่พัฒนา แต่ถ้าเราพยายามล่ะ เกิดอะไรขึ้น? เราก็จะพบว่า การใช้กราฟ week มา day trade ถ้าเราผิด เราก็จะผิดแค่ช่วงเดียว (ซึี่งเราผิดได้เสมอ ไม่มีใครถูก 100% อยู่แล้ว แต่เราควบคุมความเสี่ยงไว้แล้ว จะผิดยังไงก็ไม่เป็นไร แต่ก็อย่าผิดบ่อย) แต่ถ้าเราถูก เราก็กินได้ยาวเลย เพราะ Direction มันถูก พอเรา Bias ด้านถูก เทรดถึงติดยังไงก็หลุดและทำกำไรได้เรื่อยๆ เป็นต้น

    อีกอัน คือ น้องต้องพยายามคิดครับ ว่าน้องพยายามจะทำอะไร จะ prove อะไร ไม่ใช่ทองราคา 1290$ น้อง S พอทองมันขึ้นมา 1295$ น้อง S อีกล่ะ ขึ้น 1300$ ก็ S อีก น้องต้องการจะสื่ออะไร?? กระสุนน้องมีจำกัด แล้วทำไมเอามันไปกองไว้หยั่งงั้นล่ะ ผิดแล้วเราควรจะทำยังไงต่อไป...


ถ้ามีเวลาว่างจะมาพิมพ์ต่อนะครัชชช

Thursday 13 March 2014

***Mar 13, 2014 - เห็นพี่ต้าน post ทีไร เราก็ยิ่งดูห่างไกลความเจริญ T T









งึมๆๆ ดูแล้วยังห่างไกลมาก

เห็นความต่างตอนบรรลุ กับ ยังไม่บรรลุ นี่ทำไมมันช่างแตกต่าง เหมือนดึงความลับในธรรมชาติออกมาได้
ตอนแรกกราฟเรียบๆ พอทำได้แล้ว กราฟสั่นสะเทือน swing ได้ใจมาก!!?

พี่ต้านบอกว่า "ต้องทำให้ asset Swing ไปมาในระดับที่สูงได้ เพื่อที่เราจะสามารถ Generate cash flow ที่มากกว่ากองทุนอื่นๆ ซึ่งต้องมีการ Re-balancing อย่างสม่ำเสมอ เพราะ ส่วนมากพอร์ตปกติจะไม่มีการ swing แบบนี้แน่นอน"

คำถาม คือ ทำยังไงให้ asset swing ระดับสูงได้ละเนี่ย ทั้งที่เป็น asset กลุ่มเดิมๆ แต่พอเข้าใจ concept แล้ว มันดัน swing หนักขึ้นได้
ทั้งๆ ที่ตอนยังไม่เข้าใจ มันดัน swing แบบราบเรียบ หรือว่าเอา 15 uncorrelated assets มา mixed กัน???  พี่ต้านย้ำอีกทีว่า "ดังนั้นหัวใจอยุ่ที่การ re-balancing พอร์ตตลอดเวลาครับ" แต่เราก็ยังไม่เข้าใจหรอก คงต้องลงมือทำเอง พี่ต้านก็คงไม่รู้ว่าจะอธิบายเรายังไง detail มันคงจะเยอะ แล้วก็องค์ความรู้เรามันก็ยังไม่ถึง
เพราะพี่ต้านก็บอกเองว่าตอนแรกก็ยังไม่เชื่อ คิดว่าเป็นทฤษฎีบริหารพอร์ตระดับสูง 
จนได้ลงมือทำเอง ถึงจะรู้ว่ามันเป็นหยั่งงี้นี่เอง จ๊อดดดดด!! สงสัยต้องมาแกะเรื่องนี้ต่อ
Portfolio Re-balancing - Trader เก่งๆ พอไปเทรดเองทำไมถึงเจ๊ง เพราะว่าเค้าสร้าง Structure ของพอร์ทไม่เป็น - Ray Dalio ทำไมเค้าเทรดไม่เจ๊งเพราะ เค้ามีการทำ Portfolio re-balancing - Portfolio re-balancing คือ การนำ Cash Flow ของเรามาทำ NAV - สมมุติเราแบ่งพอร์ทเป็นดังภาพ














เอารูปนี่มันแปะเตือนใจตัวเองต่อปายย555