Sunday 26 June 2016

ภาค Reborn - "จงออกนอกนอก Comfort Zone - Go Run!!!" #10



จากตอนแรกที่วิ่งจ้ำเอา จ้ำเอา แล้วก็เหนื่อยต้องหยุดเดิน
ก็เปลี่ยนมาเป็นวิ่งให้ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้

คือ มันช้าเหมือนกับเราเดินเลยนั่นล่ะ
คือ วิ่งไป คนอื่นๆ ก็แซงเราไปหมด บางทีผู้หญิงเดินยังแซงเราที่กำลังวิ่งอยู่ไปเลย 555

แต่ไอ้การวิ่งช้าแบบนี้ทำให้เกิดสิ่งที่น่าทึ่งสำหรับตัวผมเลย 2 อย่าง

อย่างแรก คือ มันทำให้ผมวิ่งได้แบบ 5 กิโลต่อเนื่องโดยไม่หยุดเลย (ครั้งแรกในชีวิต)
ทั้งๆ ที่แต่เดิมวิ่งได้แค่ 1 กิโลก็เหนื่อยแทบตายล่ะ

อีกอย่างก็ คือ ไอ่การวิ่งช้าเหมือนแทบจะเดินแต่ไม่หยุดเนี่ย พอวิ่งจนครบ 5 กิโลแล้วมาดู Stat เวลา
กลับพบว่า มันเร็วขึ้นกว่าเดิมประมาณ 3 - 4 นาทีเลยทีเดียว (5 กิโล ใช้เวลาประมาณ 37-38 นาที)

คือ ความรู้สึกในวันนั้น มันเหมือนกับการตื่นรู้ในเรื่องการวิ่งของผมเลยทีเดียว
มันทำให้ผมประหลาดใจสุดๆ เพราะไม่เคยคิดว่าการทำอะไรที่ช้าๆ แต่ต่อเนื่อง
มันกลับเร็วกว่า การเร่ง speed มากๆ แล้วหยุดเดินแป็บนึง แล้วก็เร่ง speed ใหม่ (ได้ยังไงฟระ)

มันทำให้ผมคิดเชื่อมโยงไปถึงโลกของการเทรดหรือเรื่องอื่นๆ ว่า จริงๆ เราไม่จำเป็นต้องรีบก็ได้หนิ
ขอให้ทำสิ่งที่ถูกต้องอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายแล้วมันก็จะเร็วกว่าการเร่งรีบ ในตอนสุดท้ายจนได้
(เหมือนเรื่องกระต่ายกับเต่าแบบนั้นเลยทีเดียว O_o)



แม้ว่าการวิ่งติดกัน 5 กิโลโดยไม่หยุดเลยแถมยังทำเวลาได้ดีขึ้น จะสร้างความยินดีให้กับผม
ในขณะเดียวกัน ฝันร้ายก็มาเยือนจนได้...


Friday 24 June 2016

ภาค Reborn - "จงออกนอกนอก Comfort Zone - Go Run!!!" #9




ในช่วงระหว่างที่ผมวิ่งนั้น ผมก็ได้ทดลองพยายามวิ่งดูหลายๆ แบบ
ว่าแบบไหนมันถึงจะดีหรือเหมาะสมกับตัวผมที่สุด

ในช่วงแรกๆ นั้นผมเน้นวิ่งเร็วเอาไว้ก่อน เพราะคิดเอาเองว่าวิธีการนี้จะทำเวลาได้ดีที่สุด
ซึ่งการวิ่งเร็วนั้น มันทำให้เหนื่อยง่าย และไม่เหมาะกับคนที่เพิ่งจะมาเริ่มวิ่งแบบผมซะด้วย

วิ่งเร็ว แล้วก็เหนื่อยหอบ แล้วก็หยุดเดิน พอหายเหนื่อยก็วิ่งเร็วใหม่ วนลูปแบบนี้
Stat มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาวิ่งได้เท่าเดิมทุกวัน แถมโคตรเหนื่อยเลยด้วย

แถมที่แย่กว่านั้นคือการวิ่งเร็วๆ เนี่ย การวิ่งต่อรอบทำระยะได้แค่ 1 กิโลแล้วก็ไม่ไหว ต้องหยุดเดิน

ซึ่งคุณภิริโค้ชของผมของบอกว่า ตามโปรแกรมจริงๆ แล้วเค้าให้ฝึกวิ่งแบบ easy ก่อน
ก็คือ วิ่งให้ช้าที่สุดเท่าที่จะช้าได้ โดยที่ห้ามหยุดเดิน

คือคุณจะวิ่งช้ายังไงก็ได้ แต่จุดสำคัญคือห้ามเดิน คือ เน้นวิ่งเอาระยะทางก่อน
ยังไม่เน้นทำเวลา ซึ่งไอ่ผมมันก็ดื้ออ่ะนะ เอาแต่วิ่งแบบที่ตัวเองคิดมาหลายวัน
แต่สุดท้ายมันไม่พัฒนา ก็เลยต้องยอมเปลี่ยนวิธี

ประกอบกับการวิ่งมาแล้วหลายๆ วัน มันทำให้ขาผมเริ่มล้าแล้วล่ะ
แถมรองเท้าก็ไม่ใช่รองเท้าวิ่งซะด้วย เป็นแค่รองเท้า training
ทำให้ผมจำใจต้องเปลี่ยนมาวิ่งช้าแบบ easy...

...ซึ่งและแล้ว ผมก็ได้คนพบความแปลกประหลาดอันน่าทึ่งบางอย่าง...



Thursday 23 June 2016

ภาค Reborn - "จงออกนอกนอก Comfort Zone - Go Run!!!" #8

จริงๆ ฝึกวิ่งพวกนี้ มันต้องมีโปรแกรมการฝึกเลยว่าวันนี้ต้องวิ่งกี่กิโล
ต้องวิ่งแบบไหน วิ่งช้ากี่นาที วิ่งเร็วกี่นาที วิ่งช้าสลับวิ่งเร็วอะไรยังไง
ซึ่งผมก็จะถามคุณภิริเอาว่า วันนี้ต้องวิ่งยังไงบ้างแล้วก็พยายามจะทำตามให้ได้



ช่วงแรกเดินผสมวิ่ง 5 โล ทำยังไงก็วิ่งได้แค่นี้ล่ะคับ ใช้ประมาณ 39-41 นาที
ก็ pace 8 เหมือนเดิม วิ่งยังไงก็เหนื่อยเหมือนเดิม เหนื่อยมากด้วย T T



พอครบ 5 กิโลตามเป้าไปแล้ว ที่เหลือก็จะ cool down เน้นเดินมากกว่า เพื่อจะดูว่า
ครบเวลา 1 ชั่วโมงแล้วจะสามารถเดินวิ่งได้กี่กี่โล วัตถุประสงค์จริงๆ ก็เพื่อเพิ่มความอึดถึก
ซึ่งช่วงแรกที่วิ่งก็จะได้ระยะทางแค่ประมาณ ุ6.5 กม./ชม.
(ส้งเกตสีของ app Nike ช่วงที่วิ่งระยะรวมยังไม่เกิน 50 กิโลเมตรแรก app จะมี background เป็นสีเหลือง)

Wednesday 22 June 2016

ภาค Reborn - "จงออกนอกนอก Comfort Zone - Go Run!!!" #7

อันนี้คือ Stat ของวันที่เดินวิ่งได้ครบ 5 กิโลเป็นครั้งแรก
จะบอกว่ามันเหนื่อยมากแทบขาดใจเลย
เพราะอย่างที่บอก ตอนแรกนี่วิ่งได้แค่ 300 เมตรก็แย่ล่ะ

อันนี้ก็ยังเดินๆ วิ่งๆ เหมือนเดิม แต่กัดฟันวิ่งให้ยาวขึ้น เร็วขึ้น
พอเหนื่อยก็หยุดเดินซักประมาณ 2-3 นาที แล้วก็วิ่งต่อ

คือแต่เดิมมันไม่มี app มาจับเวลาไง
คราวนี้พอมี app แล้วก็อยากให้ stat มันดี ก็จ้ำใหญ่เลย 55

สรุปใช้ app Nike วิ่ง 5 กิโล ใช้เวลา 40 นาที แบบนี้เรียกว่า pace 8
ตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกว่ามันเร็วหรือช้า มารู้ตอนหลังแล้วว่า
คนทั่วๆ ไป เค้าก็วิ่งอยู่กันประมาณ pace 6-7 นี่แหละ
ถ้านักกีฬาก็วิ่งอยู่ประมาณ pace 3-4 (สำหรับวิ่งระยะไกลนะ)
(คือ ดู stat แล้ว แม่ม! ทำได้ไงฟะ โคตรถึกเบย ทั้งอึดและเร็วอีก)

Monday 20 June 2016

ภาค Reborn - "จงออกนอกนอก Comfort Zone - Go Run!!!" #6


วิ่งวันแรกจบไป ด้วยการวิ่งๆ เดินๆ เหนื่อยแทบขาดใจ
วิ่งยาวได้แค่ครั้งละ 300-400 เมตรเอง อนาถมาก 555
พอวิ่งเหนื่อยก็ต้องสลับมาเดินอีก 300-400 เมตร
วันแรกเดินวิ่ง ก็รวมๆ น่าจะประมาณ 2 โลกว่าๆ ได้แค่นั้น

พอวันต่อมาก็เริ่มเพิ่มระยะมาเป็น 3 กิโล
โดยพยายามจะวิ่งยาวรอบนึงให้ได้ 1 รอบสนาม
หรือ 800 เมตรให้ได้โดยไม่หยุดพักเดิน
พอวิ่งรอบแรกได้ก็ดีใจมาก ทำได้แล้ววุ้ย 555

ตอนนั้นจำได้ว่าโคตรเหนื่อยทุกวันเลย วิ่งยังไงก็เหนื่อย
คือแบบว่าเราไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับการวิ่ง
เพราะไม่เคยคิดจะวิ่งแบบจริงจังมาก่อนเลยในชีวิต
ทุกอย่างก็เลยต้องมาเริ่มเรียนรู้ใหม่หมด

พอวิ่งไปได้ซัก 3-4 วัน เห็นแฟนใช้ app วิ่งวุ้ย
ต้องไปโหลดมาใช้บ้างล่ะ เอาของ Nike กะ Endomondo
ชักเริ่มจะสนุกขึ้นมาล่ะ 555


ภาค Reborn - "จงออกนอกนอก Comfort Zone - Go Run!!!" #5




เอาล่ะ! เริ่มเป็นเรื่องล่ะไง
อยู่ดีๆ ทะลึ่งไปลงงานวิ่ง

เริ่มมางานแรกก็พยายามหางานวิ่งที่คิดว่า ok ง่ายที่สุดสำหรับเราก่อนในตอนนั้น
ก็เลยเลือกงานนี้เลยล่ะกัน ดูดีสุดล่ะ "Let's Rock Run" งานวิ่งในสวนหลวง ร.9
วิ่งจบมีคอนเสริ์ต 25 Hours กับ ดา เอ็นโดรฟิน ให้ดูอีกด้วย
งานแรกก็ไปลงแบบเบาสุด 5 กิโลก่อน (Fun run)

พอไปลงงานวิ่งแล้วเป็นไงล่ะ  ก็ต้องซ้อมสิครัช
เด่วเกิดไปเป็นลมตายในงานขึ้นมา จะเป็นที่โจษจันได้ หึหึหึ

มีเวลาซ้อมแค่เดือนเดียว ก็นับถอยหลังได้เลย
คุณภิริก็จัดหาโปรแกรมซ้อมมาให้พร้อมเบย

ปกติอยู่แถวบ้านนี่ เมื่อก่อนจะเดินเอารอบสนามรัชมังฯ (รอบนอก)
เพราะวิ่งไม่ไหว เดินเอาอย่างมากก็ได้แค่ 2-3 รอบ (รอบละ 800 เมตร)

คราวนี้ต้องเริ่มวิ่งแล้วไง ต้องเท้าวิ่ง (running) ก็ไม่มี
ก็ต้องใส่รองเท้า training ไปก่อนถูไถ

พอเริ่มวิ่งเท่านั้นแหละ
แม่ม! วิ่งได้แค่ 300 เมตรก็แทบขาดใจล่ะ 555


Sunday 19 June 2016

ภาค Reborn - "จงออกนอกนอก Comfort Zone - Go Run!!!" #4




จริงๆ เรื่องที่ผมตั้งใจว่าจะเขียนเกี่ยวกับการออกนอก Comfort Zone ของผมในปีนี้
มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการวิ่งครับ
ใช่แล้วครับ "การวิ่ง"
(3 ตอนที่ผ่านมา แค่เกริ่นเท่านั้นเอง 555)

เนื่องจากปีที่แล้วผมเฝ้าไข้คุณพ่อเกือบทั้งปีเลยไม่มีเวลาออกกำลัง
ก็ได้แต่อาศัยการเดินวันละหมื่นก้าวนั่นแหละ พอประทังสุขภาพไปได้

จริงๆ ก็เดินจริงจังเลยแหละ (เดินจนติด top 10 ของ campaign นั้น
จนเค้าเชิญไปร่วมออกงานตอนปิด campaign เลย แต่สุดท้ายไม่ได้ไป เพราะติดงานอื่น)

ช่วงที่ผมเดินนั้น แฟนผม (หรือ "คุณภิริ") ก็เดินด้วย หลังๆ เธอก็เริ่มวิ่งครับ
แต่ตัวผมนั้นไม่ยอมวิ่ง เพราะผมมีความเชื่อฝังหัวอยู่ว่าผมวิ่งไม่ไหว!!

ที่ผมคิดแบบนั้นเพราะว่า ผมคิดว่าน้ำหนักตัวเองมากวิ่งแล้วขาต้องพัง เข่าต้องพังแน่ๆ
แล้วผมก็เจ็บหัวเข่าอยู่แล้ว (หมอเคยบอกว่าเยื่อหุ้มหัวเข่าคุณอักเสบถาวรตลอดชีวิต)
แล้วผมก็เคยผ่าตัดเอาเหล็กดามระหว่างกระดูกต้นขากับสะโพกด้วย

คือ โรคเกี่ยวกับขา กับเข่า มันเยอะนั่นแหละ

ตัดกลับมาช่วงต้นปี เดือนมกรา ที่ผ่านมา
สุดท้าย คุณภิริก็ทนไม่ไหว อยากไปงานวิ่งจัด (เห็นคนอื่นไปวิ่งกันเยอะ)
ผมก็เอาว่ะ ไปก็ไป 555



Saturday 18 June 2016

ภาค Reborn - "จงออกนอกนอก Comfort Zone!!!" #3





จริงๆ ช่วงนั้นผมรู้สึกดีมากเลยนะ (แม้ว่ามันจะเหนื่อยก็ตาม ช่วงนั้นทำงานอื่นอีก 3 อย่าง 7 วันรวด)
คือ มันเหมือนกับหัวสมองมันแล่นอยู่ตลอลเวลาเกี่ยวกับเรื่องนี้ คล้ายๆ มันเหมือนกับเวลาคุณเปิด
ช่องรับคลื่นพลังความเป็นไปได้ให้มันกว้างแล้ว เดี๋ยวมันก็มีพลัง มีความคิดดีๆ ไหลเข้ามาในหัวได้เองเรื่อยๆ

ซึ่งพอเราเขียนออกมาได้ทุกวันทุกวัน มันก็เหมือนกับเราได้สร้าง productivity หรือ
สิ่งที่ (มโนฯ เอาเองว่า) มีประโยชน์ออกได้เรื่อยๆ มันก็เลยรู้สึกดีอ่ะนะ

จาก Blog กากๆ ที่เขียนไว้อ่านเองคนเดียว ก็เริ่มมีคนเข้ามาอ่านมากขึ้นเรื่อยๆ
มีคนเข้ามาทักมาคุย add friend ด้วยเรื่อยๆ
ยิ่งกว่านั้นมีคนเอาไปรวมเล่มใน blog เค้าด้วยด้วย surprise สุดๆ

http://group.wunjun.com/jomjonejadet/topic/568422-14693/

ถ้าใครเคยอ่าน Series นั้นก็จะรู้ว่ามันมีแต่เครื่องหมายคำพูดและไม่ได้เรียบลำดับใดๆ เลย 555
เหมือนผมหลุดจากกรอบที่ต้องเขียนเรียบเรียงให้มันดี กลายเป็นไร้กรอบไร้แบบแผนไปเลย

ซึ่งไอ้การไร้กรอบก็ดี หรือ การออกนอก Comfort Zone เองก็ดี
กลับให้ผลลัพธ์ที่น่าประหลาดใจ

ซึ่งสรุปแล้วผมก็ปิ๊งขึ้นมาได้วว่า ถ้าอยากจะออกนอก Comfort Zone
เจ้าเซกานิก เอฟเฟค นี่แหละคือหนึ่งในกุญแจสำคัญ
และผมกำลังใช้มันอยู่อีกครั้ง!!!

(เขียนโคตรบิ้วตัวเองเลย กลัวไฟมอด 555)



Friday 17 June 2016

ภาค Reborn - "จงออกนอกนอก Comfort Zone!!!" #2



จริงๆ ผมมีความคิดมานานแล้วว่า อยากจะเขียนสรุปเรื่องเกี่ยวกับการเทรด
ที่ตัวเองได้เรียนรู้ไม่ว่าจะมาจากการอ่านหรือการเรียนก็ดี การสอนเองก็ดี
หรือ ประสบการณ์ตรงที่เลือดตกยางออกมามากมายก็ดี

เพื่อให้สิ่งที่ได้เรียนรู้และบาดเจ็บมา สามารถร่นระยะเวลาและอาการบาดเจ็บ
ให้กับเพื่อนๆ ญาติพี่น้อง หรือใครก็ได้ที่กำลังจะเริ่มต้นการเทรด

แต่ผมก็พบว่า เรื่องเทรดนี่มันยังไงก็เขียนสรุปออกมาได้ยากจริงๆ
จนเมื่อซักประมาณ 2 ปี ผมเลยตั้งใจกัดฟันแบบว่านึกอาไรออกก็เขียนๆ มันเข้าไป
หรือไปอ่านอาไรมาแล้วชอบใจก็เขียนๆ มันลงไปเลย

ไม่ต้องเรียบเรียงคำพูด ไม่ต้องเรียงลำดับเนื้อเรื่องอะไรทั้งสิ้น
ใส่ใส่ใส่ มันเข้าไป เอาแต่เนื้อๆ นั่นแหละ
พอเริ่มต้นตอนที่ 1 ไปได้แล้ว เดี๋ยวตอนที่เหลือมันก็จะไหลออกมาได้เรื่อยๆ เองแหละ

จริงๆ แล้วผมก็ไม่รู้จะเขียนอะไร หรือจะเขียนยังไงหรอก
แต่ช่วงนั้นผมแค่ตั้งใจว่าจะเขียนให้ได้วันละตอนเรื่อยๆ ทุกวัน
ซึ่งก็ปรากฎว่า ผมสามารถเขียนออกมาได้เกิน 30 วันติดๆ กัน (แบบไม่น่าเชื่อตัวเอง)
จนกลายมาเป็น Series คุณรู้อาไรเกี่ยวกับการเทรดบ้าง นั่นแหละ

แล้วผมก็มาทราบในภายหลังว่ามันเป็นปรากฎการณ์ที่เรียกว่า "The zeigarnik effect" นั่นเอง
(ชักเริ่มยาว ตัดไปขึ้นตอนใหม่วันพรุ่งนี้ล่ะกัน)



Thursday 16 June 2016

ภาค Reborn - "จงออกนอกนอก Comfort Zone!!!" #1



ตั้งไว้ว่าจะกลับมาเขียน Blog อย่างสม่ำเสมอตั้งแต่ช่วงต้นปี
แต่ก็ดองเอาไว้มานาน จนวันนี้ทนไม่ไหวล่ะ ได้ฤกษ์ฮึดขึ้นมาเขียนใหม่จนได้ 555

จริงๆ ลึกๆ  แล้วผมนี้แม่มเป็นโรคแบบว่ากลัวผิด เสพติด Perfectionism นะ
ซึ่งจริงๆ แล้วมันเป็นข้อเสียใหญ่ของผมเลยแหละ

เพราะไอ้ความที่อยากจะทำให้มันดีเนี่ยแหละ มันเลยทำให้ทุกอย่างเลยช้าไปหมด
เพราะอยากให้มันเนี๊ยบ มันปราณีต มันดูดีนี่แหละ ก็เลยคิดมาก วางแผนมาก แก้มาก

ซึ่งสุดท้ายแล้วมันก็ไม่เห็นจะแตกต่างกับคนที่ทำมันเร็วๆ (แต่ไม่ถึงกะลวกๆ)
ถ้ามองเฉพาะในแง่ของความมีประสิทธิภาพหรือผลลัพธ์อ่ะนะ

สุดท้ายแล้วมันก็วนกลับมาที่เดิม ก็คือ ความสม่ำเสมอ หรือ วินัย นั่นแหละ

ถ้าคุณจะทำอะไรให้ทุกอย่างมันดีหมด มันก็กินพลังงานมาก และ take time
แต่ productivity มันก็จะออกมาต่ำไงล่ะ

เพราะฉะนั้น ตั้งแต่วันนี้ไป ผมจะเริ่มออกนอก Comfort Zone อย่างจริงๆ จังๆ อีกครั้ง
เริ่มต้นประเดิม ก็ด้วยการเขียน Blog มันอย่างสม่ำเสมอนี้แหละ 555


https://www.facebook.com/crazygoatbuster/

https://www.facebook.com/crazygoatbuster/photos/a.247081638797181.1073741827.246858405486171/567828056722536/?type=3&theater&notif_t=notify_me_page&notif_id=1466094201098465