Tuesday 29 April 2014

***Apr 29, 2014 - การให้ Value กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งของมนุษย์











อันนี้ได้ idea มาจากที่พี่อาภากรอธิบายไว้
เลยลองเอามาวาดมั่วๆ เล่นๆ เก็บไว้ดูครับ
key น่าจะมาจากเวลาไหนที่มนุษย์โดนอารมณ์ความโลภและความกลัวก็จะทำให้อีกฝ่ายนึงชนะ อีกฝ่ายนึงก็แพ้ไป ไม่มีใครผิดใครถูก เพราะมันก็เกิดทั้่ง 2 แบบอยู่ตลอดเวลา ชิมิ


Sunday 27 April 2014

***Apr 27, 2014 - หลักการ Trading แบบ Mind Map

ทดลองเขียนเป็น Mind Map ดีกว่า
ขี้เกียจบรรยายแระ เยอะเกิน 555
อาไรมันเป็น subset ของอาไร ยังจัดหมวดหมู่ยากอยู่นะ
พยายามจะจัดกลุ่มให้ได้ คงต้อง revise อีกเรื่อยๆ หลาย version กว่าจะลงตัว


Sunday 20 April 2014

***Apr 20, 2014 - Ego กินความประมาทเป็นอาหาร

ตัดมาจาก Lecture พี่ต้านที่โค้ช Gap เอามาแชร์

“Biggest loss come from biggest gain”
 
ยิ่งน้องเทรดชนะมากแค่ไหน ก็ต้องระวังความผิดพลาดมากขึ้น ทางกองทุนมาโวริชจะถือว่ายิ่งเทรดชนะมาก ก็ยิ่งต้องระวังความเสี่ยงมาก ยิ่งชนะบ่อยๆน้องต้องป้องกันตัวเองมากขึ้นต้องระวัง Ego ต้องลด position ลง เราจะไม่รู้ตัวเองเลยถ้าเราชนะเรื่อยๆ เราจะคิดว่าเราเก่งที่สุดเราคือพระเจ้า 555+   อารมณ์แบบนี้มันจะตามน้องไปตลอดการเทรดไม่ว่าน้องจะโปร เทรดมานานแค่ไหน อามรณ์นี้มันจะเกิดขึ้นเรื่อยๆทุกครั้ง เราต้องระวัง


GO vs Trading จริงๆ แล้วกีฬา การแข่งขัน การเทรด หรือ Business อาไรก็แล้วแต่มีอะไรที่คล้ายๆ กันหรือเหมือนๆ กัน เพราะลึกๆ แล้ว จริงๆ มันเป็นการต่อสู้หรือแข่งขันกันระหว่างมนุษย์ทั้งสิ้น ถ้าเราเข้าใจในศาสตร์อย่างใดอย่างหนึ่งอย่างลึกซึ้งแล้วเราก็สามารถที่จะเชื่อมโยงไปถึงอีกสิ่งหนึ่งได้  เพราะฉะนั้นเวลาในชีวิตเราควรจะฝึกอะไรซักอย่างให้มันสุดยอดเหนือคนอื่นออกมาให้ได้ เพราะจะได้รู้วิธีฝึกฝนพัฒนาตัวเองแบบครบ process จริงๆ หรือ Learn how to Learn พอเป็นสุดยอดด้านหนึ่งแล้วเราก็ใช้วิธีเดียวกันต่อยอดไปศาสตร์อื่นๆ ได้ (ซึ่งทำได้ยากมว๊ากกกกกกกกก เพราะมันไม่มีสอนในโรงเรียนธรรมดาไง) จริงๆ แล้วพูดง่ายๆ ก็คือ อิทธิบาท 4 นั่นแหละ หรือ PDCA ของฝรั่งแล้วแต่เรียกชื่อต่างๆ กันไป เราต้องเริ่มด้วยความชอบหรือ "ฉันทะ" ก่อน ถ้าไม่ชอบ Long term ก็จะสู้คนที่ชอบไม่ได้ เพราะคนที่ชอบในเรื่องนั้นๆ มันก็ตะบี้ตะบันฝึก ("วิริยะ") พัฒนาตัวเองในด้านนั้น (Concentrate, Thoughtfulness - "จิตตะ")ไปเรื่อยๆ ด้วยความเมามันส์ เค้าเหล่านั้นก็จะยิ่งวิ่งหนี ทำ Gap ออกห่างคนธรรมดาที่ทำมันแบบทำไปวันๆ ออกไปเรื่อยๆ (ก็เพราะคนมันชอบ เวลาชอบก็ไม่รู้สึกว่าทำงาน ทำมันลืมวันลืมคืน) แต่การทำมากๆ หรือทำซ้ำๆ ก็ยังไม่ถูกต้อซะทีเดียว คือ ต้องรู้วิธีการฝึกที่ถูกต้องด้วย (ถ้ามีโค้ชหรือครูบาอาจารย์ดีก็จะประเสริฐที่สุด ซึ่งถ้าไม่มี (บุญ) แบบผมเนี่ยก็ลำบากโคตร ต้องอาศัยครูพักลักจำไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ก็จะบอกว่าให้ไปหา Role Model แล้ว copy มันเลย พอเริ่มทำได้คล้ายๆ เกือบๆ Role Model แล้ว ค่อยโยนตำราทิ้ง แล้ว create your own way หรือ your signature ขึ้ให้เหมาะกับจริตตัวเอง เพราะคนเรามันไม่มีใครเหมือนกัน 100% หรอก) และอีกอย่างที่สำคัญก็คือ ต้องมี skill ในการแก้ปัญหาด้วย เพราะไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ต้องเจอปัญหาแน่นอน แล้วมันก็จะมาไม่หยุดหย่อน เราก็ต้องคอยตรวจตรา ไม่ประมาท ("วิมังสา") สุดท้าย คุณจะพัฒนาได้หรือไม่ ก็ต้องรู้จักวิธีการแก้ปัญหานี่หล่ะ ซึ่งไม่มีอะไรแน่นอนในโลก ปัญหาก็มารูปแบบใหม่ๆ ได้เสมอ คนที่ปรับตัวยืดหยุ่นได้ ก็คือคนที่รอด ซึ่งคนที่ฝึกหนัก ก็จะเจอปัญหามาก ร้อยแปด พอเจอปัญหามันซ้ำๆ ก็เริ่มแก้ได้เร็วขึ้น (เรื่อยๆ) กลายเป็นประสบการณ์และ skill ขั้นเทพในที่สุด (มนุษย์ไมอีลิน) พอผ่านอาไรมาหมดแล้วก็จะสามารถสร้างกลยุทธ์ ค่ายกลรูปแบบต่างๆ (สร้างขึ้นเพื่อความได้เปรียบเวลาต่อสู้กับมนุษย์ด้วยกัน)

เมื่อก่อนตอนเริ่มศึกษาพื้นฐานการเทรดจะอยู่ที่ 3M 

1) Method (Entry & Exit) มีความสำคัญเพียง 10% เท่านั้น
2) Money Management มีความสำคัญ 30%
3) Mental (Psychology) สำคัญมากที่สุดถึง 60% 

หรือจะเป็นอีกแบบที่พี่ต้านเคยเอาแชร์ก็คล้ายๆ กัน (รูปเอามาจากไหน page ขี้เกียจวาดใหม่ล่ะ)


แต่ถ้าจะเอากลยุทธ์ด้วยก็ต้องเป็นรูปนี้



ขี้เกียจเขียนล่ะ ชักยาว 555
ว่าจะเขียน link กับ GO ซักหน่อย
เอาเป็นว่า คุณต้องรู้จักตัวเอง รู้ capacity ของตัวเอง รู้วิธีฝึก รู้วิธีพัฒนา
รู้จักดูจิตตัวเอง ว่าตอนนี้ความโลภความกลัวครอบงำมั๊ย Ego มายัง

ยกตัวอย่างเช่น
ผมเล่นโกะมานานล่ะ ก็ชอบนะ แต่ไม่พัฒนาไม่ไหน เพราะ
1. จะเล่นให้เก่งจริงๆ มันยากมว๊ากกกก ต้องนั่งเรียงหมาก, Pattern ของโกะ เป็นเลขยกกำลังแบบมหาศาล ยากกว่า Price Pattern ของการเทรดเยอะเลย => ไม่มีแรงจูงใจในการฝึก เพราะเล่นเป็นอาชีพในบ้านเราไม่รอดแน่ๆ เล่นได้เอาคลายเครียด และฝึกสมองเท่านั้นสำหรับผมนะ
2. ไม่มีโค้ช ไม่มีอาจารย์ ตำราก็มีอ่านบ้าง แต่ยังสู้ลงสนามจริงไม่ได้ เพราะรูปแบบหมากมันไม่มีการช้ำ
3. หมากประสบการณ์ เล่นไงก็สู้พวกที่ focus เรื่องนี้จิงๆ ไม่ได้แน่ๆ ห่างกันหลายขุมเลย พวก 9 ดั้งบางเม็ดคิดนานเป็น ชั่วโมงเลย (ถ้ากรูต้องนั่งคิดนานแบบนี้ กรูจะเอาไรกิน)

สมมติเค้าบอกว่าไม่ควรเล่นโกะวันล่ะ 2 กระดาน
ก็ ok เป็น capacity ของสมองมนุษย์ที่มันจะดีสูงสุดก็แค่ 2 กระดานแรก

จิงๆ ก็เลิกเล่นไปนานล่ะ เพราะมัน take time มาก
ต่อพอไปดูของพี่ต้าน บอกว่าต้องมี Brain Exercise ฝึก Mental ไม่ Poker ก็ต้องหมากกระดาน
ก็เลยกลับมาเล่นอีกล่ะ

เลย save รูปบันทึกหมากลองดู
กระดานแรก - สมอง Fresh, Mental สมบูรณ์, Ego ยังไม่มา ชนะใสๆ (ไม่รู้ว่าเกาหลีคนนี้วันนี้เล่นมากี่กระดานล่ะ ส่วนมากกระดานแรกผมชนะเสมอ เพราะสมองจะยังสดมาก พวกเกาหลีส่วนมากก็มักจะคิดว่าคนไทยอ่อนก็มักจะประมาท (ถ้า level ระดับต่ำๆ เท่ากันแบบผมอ่ะนะ level สูงๆ ความประมาทต่ำมาก คิดนานมว๊ากกกกกกกกก - ผมก็มักจะซัดเลย กินเกือบหมดกระดาน)























กระดาน 2 - Capacity ของสมองยังได้อยู่, Mental ยังสมบูรณ์ แต่ Ego เริ่มมาล่ะ - ตานี้ก็ยังขนะใส เกาหลียกธงขาว ยอมแพ้ยังลงไม่ถึง 100 เม็ดเลย (เริ่มคิดว่า เกาหลีอ่อนว่ะ กรูเทพ => step เหมือนการเทรดเป๊ะเลย)


























กระดาน 3,4,5,6 - สมองเริ่มล้าล่ะ Mental ยังดี แต่ Ego มาเต็มๆ เริ่มลงเร็วขึ้น คิดน้อยลง ความประมาทมาเยือน รูปเกมส์โดยมากผมจะนำไปเยอะตลอด แล้วก็จะประมาท แล้วก็แพ้ภัยตัวเองตายตลอด





คือ ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะ capacity ของสมอง หรือ Ego แต่คุณจำเป็นที่จะต้องรู้ limit ของตัวเอง
สุดท้าย พอคุณศึกษาอาไรมานานๆ ความรู้ วิชาการ กลยุทธ์ แทคติค ความคิดมันเท่าทันกันหมด
เค้าก็ไม่ได้วัดว่าใครเก่งกว่ากันล่ะ เพราะมันพอๆ กัน (อาจจะต่างกันบ้างที่ระดับสัญชาตญาณ + genius มาเกิดจริงๆ) สุดท้าย เค้าก็จะวัดกันที่ใครผิดพลาดน้อยกว่ากัน (เพลี่ยงพล้ำ) ก็จะเป็นผู้ชนะ

โกะ ยิ่งอยากชนะ ก็ยิ่งแพ้
เพราะยิ่งอยากชนะ ก็จะยิ่งบุกโจมตี ยิ่งบุกโจมตีก็จะยิ่งเปิดจุดอ่อน เหมือนปฎิกิริยา reflex สะท้อนกลับ
ต้อง Balance ให้ได้ระหว่างการบุกและการโจมตี
ปรัชญาในเกมส์โกะ จึงเป็น "ชนะเมื่อไม่คิดเอาชนะ"

โกะก็เหมือนการเทรด ยิ่งเล่นชนะ ก็ยิ่งอยากเล่นต่อ เหมือนเสพติดการเทรด
เพราะลึกๆ แล้วในใจอยากที่จะชนะอย่างต่อเนื่อง มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ (บางคน) ที่ชอบการแข่งขัน (แบบผม)

คุณก็ต้องหาวิธีการควบคุมตัวเองให้ได้ จริงๆ ก็คือ ต้องดูจิตตัวเองนั่นแหละครับ เจริญสติ (กาย เวทนา จิต ธรรม) ดูจิต ว่าว่างหรืออยากชนะ ดูกายว่า แน่นหน้าอกมั๊ย ร้อนๆ มั๊ย อึดอัดมั๊ย ลมหายใจติดขัดมั๊ย มีความเครียดในตัวมั๊ย ต้องดูตัวเองให้ออกครับ ไม่มีใครช่วยเราได้จริงๆ หรอก นอกจากตัวเราเอง
(ใครเปลี่ยนระดับความเร็วในลมหายใจของคู่ต่อสู้ได้เป็นผู้ชนะ)

ขอปิดท้ายด้วยข้อความเดิมที่เริ่มต้น เพื่อให้ดูว่าอะไรที่แข่งกับมนุษย์ด้วยกันมันเหมือนกันมั๊ย...

“Biggest loss come from biggest gain” ยิ่งน้องเทรดชนะมากแค่ไหน ก็ต้องระวังความผิดพลาดมากขึ้น ทางกองทุนมาโวริชจะถือว่ายิ่งเทรดชนะมาก ก็ยิ่งต้องระวังความเสี่ยงมาก ยิ่งชนะบ่อยๆน้องต้องป้องกันตัวเองมากขึ้นต้องระวัง Ego ต้องลด position ลง เราจะไม่รู้ตัวเองเลยถ้าเราชนะเรื่อยๆ เราจะคิดว่าเราเก่งที่สุดเราคือพระเจ้า 555+   อารมณ์แบบนี้มันจะตามน้องไปตลอดการเทรดไม่ว่าน้องจะโปร เทรดมานานแค่ไหน อามรณ์นี้มันจะเกิดขึ้นเรื่อยๆทุกครั้ง เราต้องระวัง

ความประมาทกิน Ego เป็นอาหารนะครัชชช 555

Saturday 19 April 2014

***Apr 19, 2014 - ไม่ได้เกี่ยวกับ Game theory

สงกรานต์หยุดไปพักผ่อน เลยได้ฟังคลิปพี่ต้านหลายๆ คลิปอีกรอบ
คลิปยาวมว๊าก รวมๆ แล้วเป็น 10 ช.ม.
นั่งจดลงสมุดได้ประมาณ 40 หน้า
ส่วนเนื้อหาก็เป็นเรื่องที่ค้างคาใจ เพราะยังเข้าใจไม่หมด
พวก True Alpha, Portfolio Re-balancing, การฝึกวินัย
ฟังรอบนี้ก็เข้าใจขึ้นเยอะล่ะ ที่เหลือก็วาง platform แล้วเอาลงสนามเพื่อเอาไปปฎิบัติจริง
แล้วก็ค่อยๆ แก้ไขพัฒนา ปรับปรุงกันไป

คราวนี้ก็มาถึงว่าจะเอาองค์ความรู้ดังกล่าวมาเขียนลง Blog ดีมั๊ย
(องค์ความรู้ก็ไม่ใช่ของเรา + เราก็ยังไม่ได้รู้จริง แต่มันล้ำมาก อยากเอาลง Blog เก็บไว้ 555)
ผมเขียน Blog ก็เพราะว่าตัวเองไม่ค่อยมีระเบียบวินัย เวลาน้อย
ก็เลยพยายามจะบังคับตัวเองให้เขียน Diary การเทรด จนแล้วจนรอดก็ยังทำไม่ได้
ทำได้เดี๋ยวๆ เดียว เป็นเพราะเวลาน้อยแล้วยังบริหารจัดการได้ไม่ดี (อย่าพูดว่าไม่มีเวลา Shame!!)

ตั้งชื่อ Blog ว่า CGG จะได้ไม่มีคนหาเจอ แต่ google ก็ทะลวง Blog เราได้อยู่ดี
ก็ไม่ได้กะว่าจะมีคนมาอ่าน แม้ว่าในใจลึกๆ ก็คิดนะ (ว่าอาจจะมีประโยชน์ต่อผู้อื่นบ้าง)
แต่จริงๆ แล้วถ้าดูจาก feed จำนวนคนอ่าน มีคนเค้ามาอ่านเยอะมาก
ก็เลยเริ่มคิดว่า การเขียน Blog แบบละเอียดมันเป็นการเปิดหน้าไพ่หรือป่าว
(พี่ต้านบอกว่าใช้อะไรก็ได้ แต่เวลาใช้อะไรแล้วอย่าบอกใครนะ คริคริ
ตลาดหุ้นไทย เป็น Game theory แบบ Repeated game => คิดว่าน่าจะเกิด Buttlefly effect ได้)

ยกตัวอย่างเช่น ผมเขียนตอนที่เริ่มเทรด QH ด้วย KZM เฉพาะตอนนี้มีคน search google เข้ามาอ่านเยอะมาก (น่าจะ search คำว่า KZM) จนทำให้ QH ที่มันเคยสวิง มากๆ Beta สูง เริ่มหดตัว (ไม่รู้เป็นเพราะ cycle ของมัน เพราะเจ้ามือ มวลมหาปชช หรือเป็นเพราะ affect จาก Game theory) ทำให้ผมต้องไปหา Beta ตัวใหม่มาเทรดอีก เพราะ QH มันเริ่มเงิบ

โชคดีที่พี่ต้านออกมาเขียนเรื่อง Beta lagging พอดี ก็เลยยังมีไอเดียไปต่อได้

คิดว่าต่อไปการเขียน Blog ก็คงเขียนเฉพาะ idea แต่จะไม่เขียนวิธีการโดยละเอียด
(เพราะวิธีการละเอียด มันเป็นเรื่ีองเฉพาะส่วนบุคคลที่พัฒนามาตามองค์ความรู้, exp และการฝึกฝน, ทรัพยากร ฯลฯ

Diary การเทรดจริงๆ คงต้องเขียนลงสมุด เพราะเขียนง่ายและเร็วกว่ามาก
เขียนผ่าน program มันดีที่ต้องมีกราฟเป็นสีสัน และตกแต่งได้สวยงามแต่ก็กินเวลามากมาย

วันนี้อยากเขียนเรื่องประมาณนี้ มันติดอยู่ในความรู้สึกครับ อยากหาที่ระบาย