Sunday 31 August 2014

Aug 31, 2014 - เหนื่อยนักพักก่อน ตอนที่ 3 - "ไม่มีเวลา (อีกแล้ว 555)"


เดือนนี้ไม่ค่อยมีเวลา เนื่องจากลูกจ้างมนุษย์ต่างดาวหนีไปอีกแล้ว
งาน self-employed 1 แรงงานใช้เวลาประมาณ 330 ชม./เดือน (ก็เข้าใจว่างานมันหนักและน่าเบื่อ)
ลูกจ้างหนีไปคนนึง เราก็ต้องรับ load เพิ่มอีกอย่างต่ำ 180 ชม./เดือน
ปกติเดือนนึงมี 720 ชม. แต่เราก็ทำงานเหมือนมี 1000 ชม. อยู่แล้ว
อันนี้ต้องรับมาเพิ่มอีก 180 ชม. ก็เลยรู้สึกค่อนข้างสบายตัวดี 555 -*-
(ผมคิดว่าเมืองไทยนี่ขาดแคลนแรงงานขั้นวิกฤตมานานล่ะ เนื่องจากผมไม่สามารถหาลูกจ้างที่เป็นคนไทยได้เลยมานานหลายปีแระ จริงๆ นานๆ จะมีคนไทยหลุดมาคนนึง แต่ก็จะแบบว่าขี้เกียจ (ตัวเป็นขน) และชอบขโมยเงิน (จริงๆ ก็จะเป็นคนประเภทแบบว่าไม่มีใครเอาแล้วประมาณนั้น ไอ่เราก็ขาดแคลนคน ใครมาก็ต้องรับไว้ก่อน เลือกไม่ได้เลยว่างั้นเถอะ หรือเราไม่มีดวงบริวารก็ไม่อาจทราบได้ lol)

สรุปเลยล่ะกันเวลามีน้อย








จริงๆ แล้วเดือนที่ 3 เนี่ย คุณภิริทำ Cashflow ได้สูงที่สุดเลย แต่พอดีว่าผู้ถือหุ้นพอใจในผลงาน 2 เดือนที่ผ่านมาก็เลยเพิ่มทุนให้อีก 50% แต่ผมขี้เกียจ adjust ให้มันตรงแล้วก็ถือว่าต่อไปนี้ก็ให้เทียบ performance กับเงินทุนใหม่ไปเลยล่ะกัน อุอุ

นอกจากนี้ผมก็เริ่ม close system เทรดค่าเงินแบบ beta lagging อีก 4-6 คู่ ตั้งใจว่าจะค่อยๆ เล่นแบบช้าๆ ล่ะทีนี้ตั้งเป้าไว้แค่เดือนละ 1-2% แต่ปรากฎว่าเดือนแรกเทรดไปได้แค่ 3 weeks กดไป 60 กว่าไม้ก็ซัดไป 15% ได้เป้าครบปีล่ะ เลยว่าจะต้องเพลาๆ บ้าง ต้องท่องไว้เสมอว่า อย่ารีบ อย่ารีบ แล้วก็อย่ารีบ... จบแระ


Saturday 30 August 2014

***Aug 30, 2014 - คุณรู้อาไรเกี่ยวกับการเทรดบ้าง ตอนที่ 41



"การล่าส่วนเกินทุนเกิดขึ้นได้เนื่องจากความไม่เท่าเทียมกันของตลาด ซึ่งเกิดมาจากความแตกต่างกันของความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ของผู้เล่นแต่ละคนในตลาด"

"การทดลอง Model ควรทดลองทำในตลาดจริง โดยแบ่งเงินบางส่วน (ที่โยนทิ้งไปได้เลยโดยไม่รู้สึก) มาทดลองทำ ซึ่งจะทำให้รู้ไปเลยว่าใช้ได้จริงหรือไม่ อีกทั้งยังช่วยฝึกทั้ง Mental และ Trader skill ไปในตัวด้วย"

"หัวใจเริ่มต้นในการทำ Model คือ ตรรกะ ของ Model นั้นๆ ว่าหัวใจของมันคืออะไร และเราต้องการจะทำอะไร (เช่น ต้องการเพิ่มปริมาณ Assets ในมือเป็นหลัก โดย Cashflow เป็นเพียงผลพลอยได้เป็นต้น)"

"ขั้นตอนต่อมา คือ หากระบวนการที่จะช่วยให้ Model ของเราดำเนินไปได้ตามตรรกะที่เราตั้งไว้ให้"

"เราต้องค้นหาความจริงแท้ส่วนมาก หรือโอกาสส่วนมากของตลาดออกมาให้ได้ (>70%) แล้วเอาไปใส่ไว้ใน Model เช่น ตลาดจะขึ้น ถ้า... ... ... Model จะทำการ Long, ตลาดจะลง ถ้า... ... ... Model จะทำการ Sell, ส่วนไอ่... ... ... นี่ต้องหามาเติมเอาเอง ตามความถนัดของแต่ละคน"

"คนส่วนใหญ่กัมักจะถามว่า ทำไมไม่บอกไอ่วิธี... ... ... มาเลย คำตอบก็คือ ถ้าเอาวิธีเหมือนๆ กันไปทำเหมือนกัน วิธีการนั้นๆ ก็จะใช้ไม่ได้ในที่สุด (โปรดกลับไปดูข้อความบนสุด), สิ่งที่ดีกว่านั้น คือ การเข้าใจ concept อย่างแท้จริงและนำไปพัฒนาให้เหมาะสมกับนิสัยของเราเองแล้ว เราก็จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ต่างๆ ของตลาดได้เป็นอย่างดี"

"ดังนั้นความสำเร็จจึงขื้นอยู่กับความตั้งใจในการพัฒนาและฝึกฝน หาได้มีสูตรสำเร็จในการทำกำไรในตลาดได้เสมอ"

"สุดท้ายแล้ว Model มันจะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อ ตรรกะที่เราเอาไปใส่ไว้มันเป็นความจริงแท้ส่วนมากของตลาดนั่นเอง ซึ่งเมื่อมันใช้ได้ผลแล้วเราเอาวิธีที่ได้ผลนั้นมาเทรดให้เป็นนิสัย เราก็จะมีนิสัยที่เทรดได้กำไรมากกว่าขาดทุน"

"สิ่งที่สำคัญก็คือ ไม่มี Model ใดสมบูรณ์แบบ ทุก Model ล้วนต้องมีจุดผิดพลาด แต่ทุกคนต้องผ่านมันไปให้ได้ บางคนทิ้ง Model ที่ดีเยี่ยมไปเพียงเพราะมันมีจุดผิดพลาดเพียงบางจุด ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วข้อเสียของมนุษย์เองนั้นแหละที่ทำให้ Model ไม่สำเร็จหรือทำตาม Model ไม่ได้ เพราะจิตวิทยาลึกๆ ในใจของคนส่วนใหญ่ต้องการความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ แต่มันก็หามีไม่ (No Holy Grail)"


เรียบเรียงจาก แนวคิดในการทำ Model โดย Mudleygroup


Friday 29 August 2014

***Aug 29, 2014 - คุณรู้อาไรเกี่ยวกับการเทรดบ้าง ตอนที่ 40


"คนที่เก่งๆ เขาต่างจากคนทั่วไป ตรงที่เขามีความ "เป็นเลิศ" ในสิ่งที่เขาทำ => จงเป็นคน Focus"

"1% that matters จงเก็บทุกรายละเอียด แม้ว่าคนอื่นจะมองเห็นหรือมองไม่เห็นก็ตาม"



"อยู่วงการอื่นมา คนอาจจะเรียกคุณว่า Genius, แต่พอมาเริ่มเทรด คุณก็ต้องเริ่มใหม่หมดไม่มีข้อยกเว้น"

"ตั้งเป้าเดือนละ 1-2% ดันทำได้ 10-20% แต่ถ้าตั้งเป้าเดือนละ 10-20% ส่วนมากมักจะไม่ได้อะไรเลย"


"ขณะที่คนอื่นเริ่มมาเก็งกำไรสนามที่เราเทรด เราก็ขายให้เค้าแล้วหนีไปเทรดสนามอื่นแทน พอเค้าตามมาอีกก็ขายให้เค้าอีกแล้วหนีไปตัวใหม่แทน (ทุนน้อยๆ ก็ต้องดักตีหัวเค้าก่อนแต่เนิ่นๆ)"

"หัวใจของการเทรดของผม simple เลยคือ "Buy When Others Are Fearful" & "keep buying until they have nothing to sell" กลยุทธ์เหล่านี้ไม่สำคัญว่าเราจะต้องมีเงินเยอะ หัวใจสำคัญอยุ่ที่ Tactic กับ การบริหาร positions size ครับ ^ ^" - Mudleygroup



"จงยอมรับคำด่าว่า ที่ปราศจากอคติ"


"เราอยู่บนกองขี้ที่เรียกว่าธุรกิจ... ถ้าทุกคนมองว่าเป็นขี้ มันก็เป็นขี้ แต่ถ้าเราว่างขี้ไว้บนหญ้า มันจะเป็นปุ๋ย ถ้าผมไม่ทำ คนอื่นก็ทำ (อยู่ดี)" - พี่ต่อ Phenomena (ตัดมาบางส่วน)



"คุณไม่จำเป็นต้องรอให้มีก่อน ถึงจะให้คนอื่นได้ ถึงคุณจะไม่มีอะไรเลย คุณก็เริ่มด้วยการให้ได้"



"ถ้าต้องการชีวิตไม่ธรรมดา คุณต้องแสวงหาทัศนคติของความเป็นเลิศ และอยู่กับมันทุกลมหายใจ" รวิศ หาญอุตสาหะ

"ในหลวงท่านทรงบอกว่า ทำดีแต่ ถ้าไม่มีใครเห็นให้ถือเป็นกำไร ยิ่งทำดีแล้วคนด่า คนว่า อันนั้นเรียกว่าเป็นกุศล นี่คือหลักในการดำเนินชีวิตของผม" - ธนญชัย ศรศรีวิชัย




Saturday 23 August 2014

***Aug 23, 2014 - คุณรู้อาไรเกี่ยวกับการเทรดบ้าง ตอนที่ 39


"Hedge Fund Manager คือ จอมทัพ, Trader คือ ยอดนักรบ"


"ถ้าคุณมีกระสุน 1,000 นัด คุณจะบริหารยังไง"

"ถ้าคุณมีกระสุน 100 นัด คุณจะบริหารยังไง"

"ถ้าคุณมีกระสุน 20 นัด คุณจะบริหารยังไง"

"ถ้าคุณมีกระสุน 5 นัด คุณจะบริหารยังไง"

"ถ้าคุณมีกระสุน 3 นัด คุณจะบริหารยังไง"

"ถ้าคุณมีกระสุน 2 นัด คุณจะบริหารยังไง"

"ถ้าคุณมีกระสุนนัดเดียว คุณจะบริหารมันยังไง"


"ถ้าคุณไม่มีกระสุนเลย คุณจะทำยังไง?"


"ถ้าคุณมีทรัพยากรล้นเหลือ คุณจะจัดสรรมันอย่างไร"

"แล้วถ้าคุณมีทรัพยากรจำกัดล่ะ คุณจะจัดสรรมันอย่างไร"


Tuesday 19 August 2014

***Aug 19, 2014 - คุณรู้อาไรเกี่ยวกับการเทรดบ้าง ตอนที่ 38


"สิ่งที่หล่อเลี้ยงให้ธุรกิจในอยู่รอด ก็คือ cashflow, การเทรดก็เช่นเดียวกัน"


บางทีเราก็ต้องการภัยคุกคามจากภายนอก เพื่อสร้างความสามัคคีภายใน

"ยามศึกเราร่วมกันรบ ยามสงบเราก็รบ (ตีกันเอง 555)" 



"อย่ามัวดีใจกับความสำเร็จที่ผ่านไปแล้ว อย่ามัวเสียใจกับสิ่งผิดพลาดเก่าๆ ที่ผ่านไปแล้วเช่นกัน"

"จิตของมนุษย์นั้นเหมือนกับน้ำ ย่อมไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ เมื่อพิชิตยอดเขาที่ตั้งใจได้แล้ว ให้มองหายอดเขาลูกใหม่ต่อไปทันที (เมื่อก่อนก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมคนที่ success ในธุรกิจหรือรวยมากๆ แล้วทำไมมันไม่หยุดฟระ จริงๆ เป็นเพราะเค้าต้องการ keep going on high level of quality ตะหาก หรือ คนที่เค้ารวยขึ้นมาได้ด้วยตัวเองจริงๆ นั้นก็เพราะเค้าได้บ่มเพาะคุณลักษณะนิสัยที่เป็นเลิศขึ้นมาเป็นเวลายาวนาน เมื่อ success แล้วก็ไม่จำเป็นที่จะต้องขี้เกียจหรือหย่อนยาน เที่ยวเล่นพักผ่อนเสร็จแล้วก็กลับมาทำงานต่อได้ เพราะคุณลักษณะนิสัยที่เป็นเลิศเหล่านั้นมันอยู่ในสายเลือดแล้ว)"


"Idea ที่ดีมากๆ และไม่มี bias จะเกิดตอนจิตว่าง (ปิ๊งแว๊บ), มันจะมาเร็วมาก แว๊บๆ ก็จะหายไป ถ้าไม่จดไว้มันก็จะหายไปเลยตลอดกาล เราจะลืมแน่นอน เพราะมันเป็นปัญญาระดับสูงกว่าที่ระดับปัญญาในปัจจุบันของเราที่เรายังเข้าไม่ถึงและยังไม่สามารถเข้าใจได้  (มันไม่ได้มาจากการ "คิด" เพราะถ้าเราคิดเองได้เราก็คิดออกไปตั้งนานแล้ว) เพราะฉะนั้นเตรียมปากกากระดาษจดให้พร้อมนะ (บางที่มันก็มาจากในฝันนะ 555)" 

"หมกมุ่นกับมันนานๆ แต่ก็จะคิดไม่ออก พอปล่อยวางถึงจะคิดออก แต่ถ้าไม่หมกมุ่นก่อนก็ไม่ได้เหมือนกันนะ 555 (มันต้องมีวัตถุดิบชั้นเลิศก่อน)"


"Model เทรดเกือบทุกประเภทมีปัญหาในเรื่องของ Strategic Capacity และผลกระทบจาก Game theory เมื่อโตถึงจุดๆ นึงจะไปต่อไม่ได้ ยกเว้น Model ประเภท Market Model คือ จำลองตัวเองว่าเป็นตลาด ไม่ใช่ผู้เล่นในตลาด คือ ทำตัวเป็นเจ้ามือซะเอง แล้วคุณจะชนะตลอดกาล!!!"

"เจ้ามือ เค้ารู้ว่าคุณรอไม่ได้ไง คุณก็เลยเสร็จเค้าเสมอ"


"ขออีกครั้ง: Key มีอย่างเดียวคือ รักษาเงินต้น แล้วเอากำไรไป leverage + ตี Home run => วน Loop"


"ผู้คนส่วนมาก พยายามที่จะ "เดา" ทิศทางตลาด มากกว่าการ "ควบคุมตัวเองให้ได้" ในตลาดที่ "ควบคุมไม่ได้""






เป้าหมาย....ไม่ได้มีไว้ไปถึง 
แต่มีไว้......เปลี่ยนเรา
เราต้องเก่งขึ้น......ดีขึ้น 
ถึงจะไปเป้าหมายนั่นได้........
รางวัล......ที่หอมหวานที่สุดของการเดินทางสู่เป้าหมาย
คือการที่ตัวเรา......เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น

[ถ้ายังไม่พร้อมตั้งเป้าหมายใหญ่ ให้ทำงานที่อยู่ตรงหน้าให้ไม่มีที่ติ] - บัณฑิต อึ้งรังษี

Saturday 16 August 2014

***Aug 17, 2014 - คุณรู้อาไรเกี่ยวกับการเทรดบ้าง ตอนที่ 37


"จงเข้าใจจุดอ่อนของมนุษย์ 5 ประการ 1.Greed  2.Fear  3.Impatience 4. Pride 5. Laziness"


"A Good Fisherman must know first that he is a Fisherman; his job is to catch fish and not be the fish"

"Markets are the biggest re-distribution of wealth mechanism invented by the Capitalists"


"ความโลภ มักทำให้ Overtrade, ความกลัว มักทำให้ พลาดโอกาส"

"ความไม่อดทนเฝ้ารอ คือ มักจะทนไม่ไหวต้องยิงกระสุนออกไปก่อน ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ good opportunities, พอโอกาสที่ดีมาก็ "No bullet" ซะงั้น"

"Pride คือ Ego เยอะ ไม่ยอมรับความผิดพลาด, ปิดหูปิดตา ไม่ยอมเรียนรู้, ไม่ยอมมองความเป็นจริง"

"Laziness คือ คุณหว่านเมล็ดพันธุ์อะไร ดีแค่ไหน ก็ย่อมเก็บเกี่ยวผลจากมันได้มากน้อยแค่นั้น,
 จง work hard เส้นทางนี้ไม่มี short cut"


"Garbage in, Garbage out: Know the quality of your Counsel"

"Successful trader is a personalized skill, Most institutions are profitable because they are just very good marketing"


"เมื่อคุณสามารถสร้าง options ที่ไม่มีวันหมดอายุได้ คุณก็พร้อมที่จะเป็น Hedge Fund Manager"

"เอากำไรไป Bet = ขาดทุนจำกัดแต่กำไรไม่จำกัด = Stop Loss = Options"



Aug 16, 2014 - วันๆ ทำไรกัน (บ้างฟระ)

รู้สึกว่าเหนื่อย ปีหน้าว่าจะ Trade อย่างเดียวล่ะ หึหึหึ (เขียนเก็บไว้หน่อย จะเลิกทำล่ะ 555)

เรียนจบตอนอายุ 20 พออายุ 29 ก็ทำงานประจำซัดไปเกือบ 10 ปีล่ะ (เรียนโทไปด้วยจนจบ)
ตอนทำงานประจำก็รุ่งเรืองดีนะ แต่คุณภิริบอกว่าเลิกทำเห๊อะ ออกมาทำอาไรเองได้แล้ว (จริงๆ เค้าบอกว่าผมทำงานประจำหนักเกินไป กลัวจะตายก่อนได้ใช้เงิน 555) ก็เลยต้องเริ่มสร้าง self-employed business เพื่อเป็นฐาน cashflow ก่อนลาออกจากงานประจำ (เคยเขียนเป้าหมายว่าอยากจะเป็นเจ้าของกิจการก่อนอายุ 30 ก็ได้เป็นจริงๆ แฮะ แม้รูปร่างหน้าตาจะไม่เหมือนอย่างที่คิด 555) ก็ว่าลาออกมาแล้วจะมาฝึกเทรดหุ้นให้เก่งๆ แบบเป็นจริงเป็นจังซะทีนั่นแหละ ทำไปทำมาก็ต้องมาเริ่ม Business จริงๆ อีก 2 อย่าง (ดูๆ แล้วก็มาตาม step ของ Rich dad เลยแบบไม่ตั้งใจ (เค้าถึงบอกว่าอ่านอาไรก็เป็นอย่างนั้น) ซึ่งเป้าสุดท้ายก็คือต้องเป็น investor ไอ่ตอนที่ศึกษาก็ไม่รู้หรอก นึกว่าตัวเองเป็น Investor (เพราะมาทางสายการเงินอยู่แล้ว) ศึกษาไปศึกษามา พอมีเรื่อง MM กะ Psychology แล้ว เอ๊ะๆ นี่กรูกำลังฝึกเป็น trader นี่หว่า กว่าจะรู้ตัว 555 แต่ช่างมันเถอะ ไม่ว่าคุณจะทำอาชีพอาไร ธุรกิจอาไร จุดหมายปลายทางก็คือต้องเป็น Investor อยู่ดีเพื่อไปสู่จุดที่เป็นอิสรภาพทางการเงินอยู่ดี ถ้าคุณไม่ฝึกตั้งแต่เด็กๆ ถึงจะมีเงินเก็บจากงานประจำหรือธุรกิจ สุดท้ายพอเอาเงินมาลงทุนแข่งกันในตลาดก็อาจจะหมดตัว โดนคนอื่นกินหมดอยู่ดี (เพราะไม่มี skill และประสบการณ์ที่เพียงพอ ก็เลยสู้เค้าไม่ได้ =>ในตลาดมีคนเขี้ยวกว่าคุณเยอะ แค่พกความมุ่งมั่น ความมั่นใจกะ ego เข้ามาก็โดนกินเรียบแน่นอน) เพราะฉะนั้น ในสายการลงทุนนี้ ถ้าจะ fail ก็รีบๆ fail ซะ 555 จะได้ลุกขึ้นได้เร็ว ดีกว่าไปเจ๊งตอนแก่ (T T) ซึ่งการฝึกเทรดแบบ professional จริงๆ ผมก็ว่าสามารถ cover การเป็น Investor ได้นะ (Risk Master) เพราะงานด้านการเทรดเป็นได้ทั้งหมดของเงิน 4 ด้านเลยอย่างที่ผมเคยเขียนไปแล้วอยู่ที่คุณจะเลือกเอาเอง)

ตอนลาออกมาใหม่ๆ ก็มโนไปเองว่าตัวเองเป็น full time trader แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว วันๆ ต้องทำอาไรบ้าง... (นี่คืองานที่ทำในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา)

1 เดือนมี 720 ชั่วโมง ต้องทำไรบ้าง

กิจกรรมหลักที่ 1
งาน self-employed business เป็นงานค้าขาย,บริการ ลูกค้าเฉลี่ยวันละ 700-1000คน ใช้คน operate 3-4 คน

ทำงาน 7 วันรวด เฉลี่ยวันละ 11 ชม. รวมเป็น 30 x 11 = 330 ชม.

ก็จะเหลือเวลาที่ต้องใช้ทำอย่างอื่น ได้แก่
เดินทาง                 เฉลี่ยใช้เวลาวันละ 1 ชม.  รวมเป็น 30 ชม.
กินข้าว 3 มื้อ          เฉลี่ยใช้เวลาวันละ 1 ชม.   รวมเป็น 30 ชม.
กิจวัตรส่วนตัว        เฉลี่ยใช้เวลาวันละ 1 ชม.    รวมเป็น 30 ชม.
ออกกำลัง              เฉลี่ยใช้เวลาวันละ 0.5 ชม.  รวมเป็น 15 ชม.
อ่านหนังสือ           เฉลี่ยใช้เวลาวันละ 2 ชม.     รวมเป็น 60 ชม.
ปลูกผัก                  เฉลี่ยใช้เวลาวันละ 0.5 ชม. รวมเป็น 15 ชม.
ครอบครัว               เฉลี่ยใช้เวลาวันละ 1 ชม.      รวมเป็น 30 ชม.
นอนหลับ               เฉลี่ยใช้เวลาวันละ 6 ชม.      รวมเป็น 180 ชม.
ทำงานบ้าน             เฉลี่ยเดือนละ                                    8 ชม.

อ้าว แม่ม! เกิน 720 ชั่วโมงแล้วว่ะ ยังไม่ทันเทรดเลย 555

กิจกรรมหลักที่ 2
งานของ Business ที่ 1 เป็นงานบริการเหมือนกัน ซึ่ง Business นี้ต้อง run 7 วันรวดเช่นเดียวกันไม่มีวันหยุด ลูกค้าเฉลี่ยประมาณวันละ 10,000 คน++ ใช้คน operate 17-20 คน ส่วนของบริการผม outsource ออกไปทั้งหมด งานที่เหลือคือดูแลความเรียบร้อย แก้ปัญหาหน้างาน (ซึ่งพออยู่ตัวแล้วก็ไม่ต้องทำอาไร) งานหลักก็คือ งานด้านเอกสารการเงิน วางบิล ปิดบัญชี และ ทวงตังค์ลูกหนี้ (ซึ่งใช้เวลามากที่สุดเลย ไอ่การทวงตังค์เนี่ย ทวงยากทวงเย็น โดยเฉพาะหน่วยงานราชการนี่ก็ทำงานช้าเหลือเกิ๊น)

ทำงาน 7 วันรวด เฉลี่ยวันละ 0.5 ชม. รวมเป็น 30 x 0.5 = 15 ชม.
(ฺBusiness มันต่างกะ self-employed ก็ตรงนี้ล่ะ 555 ถ้าเราวางระบบให้อยู่ตัวแล้ามันก็จะ run ไปได้เอง auto)

กิจกรรมหลักที่ 3
งานของ Business ที่ 2 เป็นงานบริการอีกเช่นกัน Business นี้ก็ต้อง run 7 วันรวดเช่นเดียวกัน ลูกค้าทั้งหมด fixed มี 100 คนใช้คน operate 1-2 คน งานนี้ผม operate เองหมดเลยไม่ต้องจ้างคน งานหลักก็คือ supply ของให้มีปริมาณเพียงพอกับ demand  งานที่เหลือ ก็คือ งานด้านเอกสารการเงิน วางบิล ปิดบัญชี และ ทวงตังค์ซึ่งน่าเบื่อและกินเวลาอีกเช่นเคย

ทำงาน 7 วันรวด เฉลี่ยวันละ 0.5 ชม. รวมเป็น 30 x 0.5 = 15 ชม.

กิจกรรมหลักที่ 4
งานด้านการเทรด ปัจจุบันเทรดอยู่ประมาณ 4-5 ports ทั้งไทยและเทศ เป็น mentor ด้วยอีก 1 port
ดูจอเฉลี่ยก็อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีวันละ 6-8 ชม. ในนั้นก็ต้องรวมอ่านข่าว ทำการบ้าน วางแผนการเทรด แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ฝึกฝน และ เขียน diary การเทรด ทำบัญชีบันทึกการเทรด

เฉลียเดือนนึงก็ต้องมี  200 ชม. นะงานนี้อ่ะ

กิจกรรมที่ 2-4 รวมๆ แล้วต้องใช้เวลาเพิ่มอีก 230 ชม. ก็ต้องเอาไปแทรกในกิจกรรมที่ 1 ทำซ้อนๆ กัน

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมไม่ได้ฝึกเล่น poker แบบบ้านเค้า (จิงๆ เป็นข้ออ้าง จะเล่นจริงๆ ก็เล่นได้ 555 เวลาน้อยเลยเลือกเลยโกะแทน เป็นเกมส์กลยุทธ์เช่นกัน)
นี่ยังไม่นับรวมธุระปะปังของชาวบ้านที่มีมาเรื่อยๆ ของพ่อแม่พี่น้อง ภรรยา ญาติโก
ช่วยเหลือคนอื่น ตอบคำถาม ไหนจะเขียน Blog อีก (เมื่อก่อนเขียน page ด้วยนะ แต่เลิกไปแล้ว เวลาไม่พอ 555) แล้วจะได้ไปอบรม สัมมนากับเค้าบ้างมั๊ยล่ะเนี่ย (ตั้งแต่ฝึกอยู่ใน Mudley มายังไม่เคยเจอพี่ต้านตัวจริงเลย 555) ไหนจะต้องท่องเที่ยว ทำบุญอีก
หนังก็ชอบดูนะ เดือนๆ นึงก็ต้องมีดู 3-4 เรื่องล่ะนะ
ระหว่างวันก็ต้องฝึกเจริญสติไปด้วยนะ ดูจิตควบคุมอารมณ์

เอ๊ะ! แล้วคนเรามันไม่ต้องเจ็บต้องป่วยกันเลยรึไงฟระ คำตอบคือ ไม่ต้องครับ 555

เรียกได้ว่าเยอะ จบดีกว่า เวลามีน้อย 555
(ใครไม่เคยทำงาน 7 วันรวดหลายๆ อย่างพร้อมๆ กัน ติดๆ กันหลายๆ ปีก็ลองทำดูได้นะครับ มันส์มากกก
จะได้พูดว่า "ไม่มีเวลา" ได้เต็มปากเต็มคำ 555 T T)

Saturday 9 August 2014

***Aug 9, 2014 - "เงินทองคือมายา ข้าวปลาสิของจริง"













ช่วงนี้ก็มีการฮึ่มๆ กันพอสมควร รู้สึกว่าเมกานี่ก็อยากจะรบซะเหลือเกิน จะเพื่อล้างไพ่หรืออาไรก็แล้วแต่ ก็ไม่มีใครรู้อนาคตหรอกว่าคนพวกนี้จะลงมือทำอะไรกันเมื่อไหร่ แต่ละฝ่ายก็มีท่าไม้ตายที่เก็บเอาไว้จะควักเอามาทิ้งบอมบ์ใส่ฝั่งตรงข้ามเมื่อไหร่ก็ได้ ปลาซิวปลาสร้อยอย่างเราๆ ก็คงได้แต่วางแผนป้องกันการเจ็บตัวและยามฉุกเฉินจริงๆ หากต้องเกิดสงครามใหญ่ขึ้นมา (ซึ่งจริงๆ ก็คงเกิดยากเพราะต้องหาความชอบธรรมในการก่อสงครามให้ได้ ไม่งั้นสุดท้ายแล้วจะโดนรุมกินโต๊ะแน่ๆ แต่ลึกๆ ในใจผมคิดว่าสุดท้ายก็คงเกิดอยู่ดีน่ะแหละ เพราะมนุษย์เป็นเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน แต่จะเกิดแค่สงครามตัวแทนย่อยๆ หรือสงครามใหญ่ก็คงไม่มีใครทราบได้)

ทองคำ (แท่ง) ในฐานะที่เป็น Asset Class แบบ safe heaven และเป็นเงินที่แท้จริงสกุลหลักของโลกมาตลอดกาลและคงไม่มีวันแจกฟรีแน่ๆ ก็เพราะความแวววาวทองอร่ามและหาได้ยากของมันกระมังที่ทำมนุษย์ให้คุณค่าแก่มันเสมอมา แถมยังใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมได้อีกด้วยเพราะคุณสมบัติเฉพาะตัวของทองคำ ซื้อก็ง่ายขายก็คล่อง จะเอาไปแลกอะไรกับใครที่ไหนก็ได้ แต่ในทางตรงกันข้ามเวลาที่ประเทศใดประเทศหนึ่งล่มสลายไป เงินสกุลนั้นมันก็คงจะกลายเป็นแค่เศษกระดาษเอาง่ายๆ เข้าสู่ภาวะ Hyper Inflation และก็อาจจะมีโดมิโนหรือไม่ อะไรยังไงก็ ซึ่งคาดเดากันได้ยาก เพราะโลกทุกวันนี้มันก็ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ และก็คงไม่มีใครจะยอมล้มง่ายๆ แน่

ช่วงนี้รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายแห่งสงครามและความไม่ปลอดภัย ก็เลยมาทำการบ้านสำหรับการเก็บทองคำแท่งซะหน่อย ก็ใช้ technical ง่ายๆ อย่าไปคิดมาก เพราะไม่ถูกก็ผิดมีแค่นี้แหละ 555
หลักๆ ที่ผมใช้ก็คือ "นับเวฟ วัด fibo ดู Indy ตี Trend line"

หลังจากจบขาขึ้นรอบที่แล้ว น้องทองก็ปรับตัวลงมาทำ Wave A-B-C ซึ่งคาดว่าจบขาลงรอบนี้ไปแล้ว เข้าสู่ช่วง consolidation สามเหลี่ยมพิศวงสะสมกำลังรอระเบิดพลังเพื่อเลือกข้าง ก็ไม่รู้ว่ามันจะเลือกข้างไหนหรอกนะคับ 555 (แต่จริงๆ เราไม่ต้องไปสนการเลือกทางของมันหรอก ขอแค่มันสวิงก็พอ 555)

สำหรับ Maximum downside risk ของน้องทองทั้ง Fundamental และ Technical อยู่แถวๆ กรอบสีแดง
ถ้าประเมินจากที่พี่ต้านเคยเอามาแชร์โดยการใช้ Inflation rate และ Asset growth rate ในปี 2014 นั้นราคาของน้องทองจะอยู่ที่ $1250 แล้ว ถ้าดูจากกราฟจะเห็นได้ว่าแนวราคานี้กดยังไงก็ไม่หลุด มีคนรับตลอด
(ราคาที่เหมาะสมในปี 2013 คือ $1140 และปี 2015 จะอยู่ที่ $1380)  => ส่วนตัวคิดว่าชาตินี้คงไม่ได้เห็นทองต่ำกว่า $1000 แล้วแน่ๆ ถ้าไม่มีเรื่องพิศดาร เทียบเป็นบาทก็น่าจะประมาณ 14,000 (ถ้ากดต่ำกว่านี้ เหมืองทองก็คงอยู่ไม่ได้ ตายหมด supply ลด หรือ แค่ดูราคาไทยถ้าลดเหลือ 18,000-19,000 นี่เยาวราชก็แทบจะแตกอยู่แล้ววว)

เมื่อก่อนทางฝั่งเมกาจะเป็นคนทุบน้องทอง แต่เด่วนี้ไม่รู้รัสเซียกะจีน ก็ช่วยกับทุบเพื่อเก็บของถูกด้วยรึป่าว เพราะพวกเค้าก็เก็บของไปเยอะมากแล้ว วันไหนพี่จีนทิ้งทุนสำรองที่เป็น USD มูลค่ามหาศาลเมื่อไหร่ เมกาก็จบข่าวแน่ๆ (ซึ่งตอนนี้ก็จับมือซื้อขายน้ำมันกะรัสเซียโดยตรงโดยไม่ใช่ petrodollar แล้วด้วย) ซึ่งเมกาก็คงไม่ยอมจบง่ายๆ แน่ๆ ก็ต้องดูกันว่าเมกาจะงัดอาไรออกมา ถ้าไม่ใช่สงครามก็โรคระบาดหรือภัยธรรมชาติประเภทแผ่นดินไหว บางทีก็อาจจะปล่อย UFO ออกมาก็ได้นะ พี่แกตุนไม้ตายไว้เยอะ 555

ส่วนเป้าหมายขาขึ้นนี่ก็อยู่ในกรอบสีน้ำเงิน ซึ่งมันมาแน่ๆ แต่มันจะมาวันไหนก็เท่านั้นเอง เกมส์นี้ต้องเล่นกันยาวๆ แต่ถ้าดูกันแค่นี้ก็คงจะรู้แล้วว่า Risk/Reward ฝั่งไหนดูดีกว่ากัน และเล่นง่ายกว่านะคับ
(ถ้า sub-wave ย่อยๆ มันเริ่มขึ้น wave iii ของ 3 ของ 3 เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละ ยืนเหนือ $1350 หรือเส้นสีเหลืองได้ ก็จะกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้งนะครับ)

สรุป ไม่ว่าโลกจะสงครามหรือไม่เกิด ยังไงทองมันก็ต้องขึ้นแน่ๆ จะช้าจะเร็วเท่านั้นเอง จบข่าว

Friday 8 August 2014

***Aug 8, 2014 - คุณรู้อาไรเกี่ยวกับการเทรดบ้าง ตอนที่ 36

http://www.youtube.com/watch?v=4ZZ3PN34t8Y
อันนี้สรุปจากคลิปเก่าๆ ของพี่ต้านตาม link ด้านบนนะครับผมสรุปเก็บเอาไว้อ่านเอง
ถ้าผิดถูกยังไงต้องขออภัยนะครับท่านสามารถดูเอาเองได้จากคลิปด้านบนซึ่ง public อยู่แล้วครับ

สิ่งที่ต้องมี
สมุดบันทึก Journal, Blog เพื่อทบทวนความคิดตัวเอง และ เพื่อให้มีสติ
สมุด Diary เอาไว้บันทึกกลยุทธ์การเทรด หรือ แผนการเทรดที่คิดได้ในขณะนั้น

วิธีแสกนหา product เอามาเล่น
เราดูจาก ATR เป็นหลัก
ช่วง ATR ต่ำๆ เป็นช่วงของกลยุทธ์ เช่น option เพราะจะเก็บ Pay off จากกลยุทธ์ได้ดีกว่า
ส่วนช่วง ATR สูงๆ จะเป็นช่วงของการ trading หรือช่วงของการเก็บ Beta นั่นเอง

เช่น ทอง ค่า ATR 14 วัน = 32 เอาไปหารราคาทอง $1319 = 2.14% ก็บันทึกไว้ใน Journal
        Dax 90/8598 = 1% (% การแกว่งของ ATR คือ ค่า Beta นั่นเอง)
        Oil คิดแล้วได้ 1.7% เพราะฉะนั้น ทองแกว่งเยอะสุด เราก็ควรจะเลือกเทรดทอง
        (แล้วพี่ต้านก็เดาว่า วันนี้ Volume ทองควรจะพุ่ง เพราะ Hedge Fund manager ก็จะเลือกมาเทรดทองกัน ซึ่งไป check ดูแล้วก็จริงตามนั้น)

ทำไมช่วง ATR ต่ำๆ ไม่ควรเล่น ก็เพราะว่า Risk/Reward เราจะต่ำ (ไม่เกี่ยวว่าแม่น ถูกทางหรือผิดทาง)
คือ โอกาสที่เราจะเทรดเก็บระยะทาง มักจะได้ไม่คุ้มเหนื่อย

ช่วง ATR สูงๆ ก็แปลว่า มีโอกาสเก็บระยะทางได้มากขึ้น
ใน Hedge Fund เราจะมองว่าเราอยากได้ Beta เป็นหลัก เราไม่ได้มองว่าเราจะถูกหรือผิด

ก็เริ่มวางกลยุทธ์ ถ้าจะเล่น Counter trend (สวน)
เราก็จะเริ่มวาง long put (option) แถวๆ แนวต้านเดิม (ตอนนี้ราคาอยู่ตรงเกือบยอดด้านขวาของ V shape)

Hedge fund จะสวน โดยเริ่มจากการใช้ option แหย่เข้าไปดู แล้วดูว่าราคาไปทางไหนก็วางกลยุทธ์ต่อเพิ่ม

ค่า ATR สูง มีโอกาสที่ราคาจะ reverse กลับมาสูง => pay off คุ้ม => Risk/Reward โอเค






Sunday 3 August 2014

Aug 3, 2014 - เหนื่อยนักพักก่อน ตอนที่ 2 - "Dancing with Volatility"


บันทีกของ series นี้กะจะเขียนเดือนละตอนดีกว่า 

ในฐานะของโค้ชและ mentor ของคุณภรรยา ("คุณภิริ") ดีกว่า อิอิ

"Dancing with Volatility"
ขอตั้งชื่อนี้ล่ะกัน
สำหรับฝึกเทรดของคุณภิริในช่วงนี้ตามสภาพตลาดทั่วๆ ไป จุดประสงค์ก็เพื่อให้คุณภิริได้ซึมซับ Volatility ของตลาดได้อย่างเต็มที่ โดย concept ของผมนี้ก็ง่ายๆ เลยครับ เทรดอาไรก็ได้ที่เป็น Good assets ที่มันสวิงแรงๆ ซึ่งผมก็พยายามจะนำเอาข้อผิดพลาดทั้งหลายทั้งปวงในอดีตของผมนำมาปรับปรุง แก้ไข และปิดจุดอ่อน ก็ต้องคอยดูกันต่อไปยาวๆ 
ว่าผลงานจะเป็นยังไง

พอร์ตนี้ไม่ใช้ leverage นะคับ และก็ reserve cash ตามสูตรที่ผมคำนวณ maximum downside risk เอาไว้

โครงสร้างพอร์ตก็ตามสมการ Return = Cash + Alpha + Beta เลยคับ +Rebalancing ด้วย (เซฟสุดๆ)
โดย product ที่เลือกมาเทรดก็คือ หุ้นไทย นี่ล่ะคับง่ายสุดแล้ว (คือ พอร์ตเล็กมากจนไม่สามารถกระจาย Asset Class หรือกระจายไปตลาดอื่นๆ ได้ 555) โดยผมพยายามจะบอกกับคุณภิริอยู่ตลอดเวลาว่าเทรดหุ้นนั้นง่ายกว่าทอดไข่ (สะกดจิต 555)

โดยตอนแรกให้เริ่มทำ KZM กับหุ้น 2 ตัวที่คิดว่า uncorrelated กัน เพื่อจะได้มี Cashflow ไหลออกมาทุกวัน พอคุณภิริเริ่มชินแล้วจึงเพิ่มค่อยจำนวนหุ้นครับ ตอนนี้เทรดอยู่รวมๆ กันประมาณ 15 ตัว (พยายามจะทำตามสูตร Ray อีกเช่นกัน 555) คือ ก่อนหน้านี้ผมจะก็ทำการบ้านมาก่อนแล้วว่าหุ้นตัวไหน คือ Good assets ตามนิยามของผม ใช้เวลา scan ประมาณ 2 เดือน เลือกจากหุ้นหลายร้อยตัว เลือกมาจนเหลือ 50-60 ตัว หลังจากนั้นพอตัวไหนมันเริ่มสวิงแรงในราคาที่เหมาะสม ก็จะเริ่มเข้าไปนัวเนียกับมันได้ 555 ซึ่งผมรู้แล้วว่าคุณภิริผมความสามารถสูงสามารถ handle หุ้น 15 ตัวที่ TF 1H ได้อยู่แล้วแหละ (แม้ว่าเพิ่งจะเริ่มเทรดมาได้แค่เดือนเดียวก็ตาม 555)

ซึ่งหลังจากจบสิ้นเดือนที่ 2 ปรากฎว่าคุณภิริทำ cashflow สะสมได้เพิ่มเป็น 3.5% และทำ NAV ได้ 5.4% ซึ่งถือว่าสูงทีเดียว เพราะเป้าที่ตั้งไว้ขอแค่ 0.5-1% ต่อเดือนเท่านั้นก็เพียงพอและเหมาะสมแล้ว ซึ่งผลการเทรดผ่านไปได้เพียง 2 เดือนก็สามารถชนะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากได้สบายๆ แระ (โดยเงินต้นต้องปลอดภัยด้วยเช่นกัน) เป้าต่อไปก็คือ เป้าขั้นต่ำรายปีซึ่งอยู่ที่ 0.5%*12 = 6% ต่อปี (หรือต้องชนะดอกเบี้ยเงินฝากสหกรณ์ให้ได้) ถ้าชนะเป้านี้ได้ เป้าหมายต่อไปก็คือ 12% ต่อปีครับ 


หลังจากผลงานเทรดเดือนที่ 2 ออกแล้ว ปรากฎว่าผู้ถือหุ้นพอใจมาก เลยเพิ่มทุนให้อีก 50% อิอิ (เดือนหน้าตัวเลข return คงจะเพี้ยนๆ เพราะมีการ inject เงินก้อนใหม่เข้ามา)


มีความผิดพลาดที่น่าบันทึกของผมในช่วงหลายเดือนก่อน ตอนที่ผมเริ่มทำ True Alpha ใหม่ๆ ในตอนนั้นผมก็หาข้อมูลและไปอ่านความคิดเห็นของคนอื่นๆ เค้าบอกกันว่า True Alpha นั้นไม่ได้ทำกันง่ายๆ เร็วๆ นะ สมองและความเชื่อของผมเลยก็เลยเป็นไปตามนั้น ผมก็เลยไปตั้งเป้าว่าจะทำ True Alpha แบบ Natural แทน คือ ได้กำไรถึงระดับที่ผมตั้งเป้าหมายแล้วผมก็จะชักทุนออกทั้งหมดเหลือแต่ส่วนกำไรเอาไว้ แต่ปรากฎว่าหุ้นที่ผมเลือกมาทำ Alpha ทั้ง 2 ตัวมันดันพุ่งแรงมาก แป๊บเดียวมันก็ขึ้นถึง Target ผมล่ะ แต่หลังจากนั้นไม่นานมันก็วิ่งขึ้นไปต่อจนเกิน 100% ทั้ง 2 ตัวเลย ToT ภายในระยะเวลา 2 เดือนเท่านั้นนับจากที่ผมซื้อวันแรก *0* (ซึ่งตัวเองก็แปลกใจเหมือนกันว่า หุ้นบ้าไรวะกรูไม่เคยรู้จักเลย ตอนแรกที่เลือกมาก็ยังคิดอยู่ว่าใครมันจะมาเทรดวะเนี่ย แต่เอาเข้าจิงๆ ดันเผือกขึ้นซะแรงเบย) ซึ่งการที่เทรด Alpha ในอาไรซักอย่าง ถ้าราคามันขึ้นมา 100% ยังไงมันก็ต้องเป็น True Alpha แล้วแน่ๆ ไม่เป็นอย่างอื่นครับ (เพราะฉะนั้น จังหวะและโอกาสสำคัญมาก ส่วนจะเร็วหรือไม่เร็วอยู่ที่การเลือก+ตลาดแล้วล่ะคับ)

จากความผิดพลาดครั้่งนี้ทำให้ผมปรับปรุงวิธีการทำ Alpha + Rebalancing ออกมาเป็น Model ใหม่ตามด้านล่างเลยคับ ผมเขียน Manual เพื่อเป็นตัวอย่างไอเดีย นะคับ 555


Killing Model No.1 # CGG Killing Monster
ขั้นตอนแรก หาเหยื่ออันโอชะ กินอร่อย ครบตามเงื่อนไข
ขั้นตอนต่อมา เอา CGG Killing Monster ไปปล่อยในสนามนักล่า เพื่อแย่งกันล่าเจ้าเหยื่ออันโอชะตัวนั้น
ขั้นต่อมาอีก รอให้เหยื่อเข้ามางับ หรือ โจมตี เจ้า Monster ของเราจะงับ (กัด) ตอบโต้แล้วก็สะบัดๆๆ เหยื่อไปเรื่อยๆ คือ กัดไม่ปล่อยจนกว่าเหยื่อหมดแรงตายไปเอง หรือเจ้าของ (ตัวเรา) อาจจะสงสารเหยื่อ จะปล่อยเหยื่อไปเองก็ไม่ว่ากัน (ก็กินอิ่มแล้วนิ 555
Repeat process เมื่อเหยื่อตายแล้วก็เอาเจ้า Monster ไปปล่อยใหม่ แล้วก็ทำซ้ำไปเรื่อยๆ

หลังจากที่คิด model ใหม่ได้สำเร็จ ผมก็เลยชะลอการใช้ท่าไม้ตายและการทำ trading department จากกระสุนฟรีออกไปก่อน ขอลองนำเงินก้อนใหม่กับกำไรที่ทำได้มาทดลองใช้กับเจ้า CGG Killing Monster ดูก่อน คาดว่าคงจะรู้ผลว่าหมู่หรือจ่าภายใน 3 เดือนครับ

ส่วนพอร์ตที่ผมฝึกอยู่ตอนนี้ โค้ชผมเปลี่ยนจากที่ฝึก closed system มาเป็นการฝึกเทรดรูปแบบใหม่เน้นการ scalping รัวๆ (แต่ไม่มี SL) เพื่อคาดหวังว่าจะได้เข้าถึงภาวะของ Asset swing ให้จงได้ ก็เพิ่งเริ่มต้นมาได้ซัก 2 สัปดาห์ครับ ยังบอกอาไรมากไม่ได้เพราะระยะเวลาในการฝึกยังน้อยเกินไป ยังประมวลผลไม่ได้ครับ