Saturday 29 June 2013

**บันทึกความคิด 30-6-2556 - กลยุทธ์ Hedge Fund (Equity Hedge)




ผมเดาเอาเองมั่วๆ ครับ
รากฐานของ Hedge Fund น่าจะมาจากแบบนี้คับ
ถ้า Equity Hedge แบบ Long/Short ก็มักจะมีสัดส่วนฝั่ง long มากกว่า Short โดยธรรมชาติ เพราะว่าหุ้น (ที่ดีที่เลือกมาเทรดหรือลงทุน) มันก็มักจะขึ้นไปเรื่อยๆ มากกว่าอยู่แล้ว เช่น เช่น Long 70% แต่ short 30% Net exposure = 40% โดย Gross exposure =100%
แต่ถ้าเป็นแบบ Market Neutral จะเปิด Long กับ Short อย่างละ 50% รวมกันแล้วมี Gross exposure = 100% แต่ Net exposure = 0% (แบบนี้ ป่าวหว่า ที่เค้าเรียกว่า Zero-Hedge หรือว่าต้องใช้ option ร่วม Hedge ด้วยแบบ cover ทั้งหมดเต็มจำนวน!!?)

ยกตัวอย่าง ลองคิดเองก็สมมติให้ junior trader (อาจจะใช้ KZM) เทรด Long ฝั่งเดียว กำไรไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีปัญหา แต่พอมี position ติดลบเมื่อไหร่ ก็ให้ senior trade เค้ามาเทรดในจำนวน position ที่เท่ากันในฝั่ง short => Gross exposure อาจจะไม่ถึง 100% เพราะ position ยังไม่เต็มมือ แต่ Net exposure จะเป็น 0% เสมอ ทำให้กองทุนไร้ความเสี่ยงเป็น Hedge fund โดยสมบูรณ์ concept แบบเดาๆ น่าจะประมาณนี้ล่ะมั้ง

ก็แปลว่า เราให้ Balance position ทั้ง 2 ฝั่งให้เท่าๆ กันแล้วกางตาข่ายเป็น Zone คร่อมระหว่างฝั่ง Long กับ Short => ใน Zone ดังกล่าวก็จะเป็น Killing Zone สำหรับเรา คอยบี้ ขยี้ รีดเร้น Cashflow ออกมาเรื่อยๆ ในขณะที่ Equity จะเท่าเดิมเสมอ (ปิด position ทั้ง 2 ฝั่งเมื่อไหร่ก็ได้ เงินต้นจะคงอยู่เท่าเดิมเสมอ นั่นก็คือ ตรง concept รักษาเงินต้นยิ่งชีพแล้วไงคับ) => ถ้าทำตาม Concept นี้ก็จะได้ cash machine แบบอมตะจนได้ รึป่าว??? => test ให้ดีก่อนลงมือนะคับ


The Sharpe Ratio One metric that is widely used in the hedge fund world is the Sharpe ratio. The Sharpe ratio measures the amount of return adjusted for each level of risk taken. It is calculated by subtracting the risk-free rate from annualized returns and dividing the result by the standard deviation of the returns. This metric can be applied across hedge funds with different levels of returns and volatility to determine whether the hedge fund is generating any alpha (excess return) by taking on additional risk. A good Sharpe ratio will vary by strategy and anything above 1 tends to be an attractive return. As with other measures, however, the following analyses should be conducted using Sharpe ratio as well as pure returns metrics.


อันนี้ copy มาจากพี่ต้าน Mudleygroup
คำถาม
รุ้หรือไม่ว่ากลยุทธ์ Equity Long/short แนวคิดนี้ล้าสมัยสำหรับเฮดจ์ฟันแนวหน้าของโลกไปแล้ว กลยุทธ์ใหม่ที่มาแทนคือ Short Equity & Long Equity CFD เพราะอะไรรุ้มั้ยเอ่ยใครตอบได้ เป็นการบ้านให้คิดครับ อิอิ ^ ^

คำตอบที่น่าสนใจ
Nattawat Kittisommanakun ชอร์ท Equity ได้เงินเพิ่ม 1 ดอกแบบ 130/30 แล้วเอาส่วนเงินฟรีไปเลเวอเรจต่อที่ long cfd เงินสดเราจะเหลือเยอะขึ้นใช่ไหม๊ครับPutthamath Duanganan short share ถ้าถูกทางได้ unit เพิ่มง่ายกว่ารึเปล่าครับ เหลือเงินเยอะกว่า กำไรตอนซื้อไรงี้ครับHongsa Nip ง้างธนูครับ ยิ่ง Short Equity มากเท่าไหร่ พอถึงจุดๆหนึ่งมันต้องตีกลับเพราะราคาที่ถูกลงทำให้คนยิ่งเข้ามาซื้อมากขึ้น แล้วยิ่ง Long CFD ด้วยแล้ว ก็ยิ่งพุ่งเร็วรับทรัพย์ล้วนๆ วิชานี้มีอยู่ในซีรีย์เจ้าพ่อตลาดหุ้นครับ 
Phairoch Lim เวลาคนกลัวมันจะมีพลังรุนแรงกว่าเวลาคนโลภหรือป่าวครับ ดังนั้นการ Short Equity ทำให้ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำมากกว่าการ Long EquityKridsda Nimmanunta Long equity is funded by the short ... CFD is unfunded . . .the proceeds from short can be kept in hand while earning interest . . . รึเปล่า
เฉลยจากพี่ต้าน
MudleyGroup เฉลยคือนำประโยชน์ของทุกคนที่ตอบมารวมกันครับ ^ ^ นี่หล่ะครับที่พี่จะสอนน้องๆทางอ้อม ว่าเราไม่ควรเอาแค่ความรุ้ของเราเป็นตัวตั้งอย่างเดียวหรือเพียงคนเดียว หากน้องๆมานั่งรวมพลังสมองมันก็เกิดอะไรที่ต่อยอดเพิ่มขึ้นไปอีก อิอิ อ่อ ลืมไป part ที่ยากคือการใช้ตัวที่ volatility สเถียรครับอันนี้ต้องใช้คนที่มีประสบการณ์ในตลาดสูงมากๆ

คำตอบต่อเนื่อง
Nattawat Kittisommanakun เกี่ยวข้องกับการใช้ leverage ใน alpha รึป่าวครับ
MudleyGroup เห็นมั้ยพลังแห่งความคิดเริ่มใกล้เคียงแล้วครับ

Donylity Boonklun เพราะ มี leverage gearing ทำให้ได้เงินเร็วกว่า
MudleyGroup ถ้าเป็น leverage gearing งั้นทำไมไม่ short CFD share ด้วยน้า..... แค่ long CFD อย่างเดียว แต่ short ตัว share เอา ให้คิดต่อครับ อิอิ

Parinya Weecharungson CFDไม่ยิงเข้าตลาดจริงหรือเปล่าครับ = =
MudleyGroup เห็นมั้ยพลังแห่งความคิดเริ่มใกล้เคียงแล้วครับ

MudleyGroup เฉลยนะครับ เอาคำตอบของน้องทุกคนมารวมกัน คือเค้า short หุ้นที่มีค่าเสถียรภาพสูง หรือ volatility ต่ำ เพื่อนำเงินนั้นมาทำ kzm หรือ ทำ Alpha ในต้นทุนที่ต่ำ แต่ถ้าเอาเงินที่ได้จากการ short มาทำกับหุ้นโดยตรง มันจะทำโซนได้น้อย เพราะ leverage CFD ที่สูงกว่า และ หลีกเลี่ยงการซื้อหุ้นโดยตรง เพราะการซื้อหุ้นโดยตรงจะมีผลกระทบกับค่าความผันผวนของตลาด ดังนั้น เฮดจ์ฟันจะ deal ผ่าน desk ในการซื้อ CFD แทนเพราะในโบรกเช่น interactive มีหุ้นพวกนี้ตุนอยุ่ในปริมาณที่มากพอ ที่จะนำมาเปิดบริการ CFD ให้ลูกค้าใช้ ดังนั้นโอกาสกระทบกับตลาดโดยตรงก้น้อย สรุปจะได้ประโยชน์จาก correlations เต็มที่ แต่ถ้าสมมุติโบรกต้องการเฮดจ์ CFD ที่ได้รับออเดอร์มาจากเฮดจ์ฟันอีกที ก็จะดีลเป้น lot ใหญ่จาก Floor trader แทนเป็นต้น หหวังว่าพอเป้นไอเดียได้นะครับ ดังนั้นหลักการของเฮดจ์ฟันมันคือการจับยำไอเดียประโยชน์ทุกๆอย่างมารวมกันนั่นเอง คนนึงก้มุมมองนึง แต่ถ้าน้องทุกคนเอามุมมองมารวมกันก้จะได้กลยุทธ์นี้เห้นมั้ยครับ 55555

Phairoch Lim ผมสงสัยว่าทำไมถึงเลือก short หุ้นที่มีค่า Beta ต่ำครับ เพราะหุ้น Beta ต่ำ มันอาจจะ short แล้วราคาหุ้นไม่ค่อยลง ทำให้ได้ cash flow มาทำ kzm หรือ ทำ Alpha ได้น้อยลงป่าวครับ ขอบคุณครับ
MudleyGroup ที่ต้องการ beta ต่ำเพราะน้องต้องการเอาเงินสดจากการ short ครับ short หุ้นเนี่ยน้องได้เงินไปหมุนก่อนนะครับ ส่วน cash flow ไปหาเอาจากการ long cfd ครับ ดังนั้นน้องแทบจะลงทุนน้อยมากๆ หรือจับเสือมือเปล่าเลย 55555
MudleyGroup แต่ถ้าน้อง short หุ้น beta สูงเกิดน้องโดนลากไปต้องไปหาเงินสดกลับมาซื้อหุ้นชดใช้เค้าคืนตายแน่นอนครับ อิอิ ดังนั้นเลือกหุ้น volatility น้อยๆ ถึงแม้จะผิดทาง short น้องก็ยังจะหา cash flow จาก long cfd มาชดเชยได้ไม่เหนื่อยมากเป็นต้นครับ



link อื่นๆ ที่น่าสนใจ
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=672454



Friday 28 June 2013

**บันทึกการเทรด 29-6-2556 => ทดลองระบบบน S&P ก่อนแข่งจริงวันที่ 4













จริงๆ มันต้องวันที่ 5 สิ ช่างมันล่ะกัน 555 สรุปเมื่อวานได้ cashflow มาอีก 760$
ดู stat รวมจากตารางด้านล่างล่ะกันคับ


รวม stat 5 วัน เฉลี่ยแล้วได้กำไรวันละ 872$ รวม 5 วันได้ cashflow มา 4.3% ต่อทุน 100,000$ (จริงๆ มีแค่ 38,000$) trade ไป 156 ไม้ win 100%, no stop loss

ผ่านไป 5 วัน equity ยังเหลือ 38,000$ เพราะได้ cashflow มา 4,358$ มี order ติดอยู่ 3.7 lots รวมเป็น ติดลบ 4,296$ ใกล้เคียงกันมากหยังกะนัดกันมา (แปลว่าผ่านไป 5 วัน ได้ cashflow จริง แต่ถ้าปิด position ทิ้งหมด ก็เจ๊ากันไป คือเงินทุนเหลือเท่าเดิม) เพราะฉะนั้นต้องแก้ไขการ hedge position ที่ติดให้ดีกว่านี้ เช่น พอ gap 2 ด้านมันถ่างเกิน 10$ ก็ให้คง position 2 ด้านให้เท่าๆ กัน อย่าไปปิด position ที่ balance ฝั่ง short เอาไว้เพื่อกิน cashflow เด็ดขาด ตัว balance ก็คือตัว balance ไปใช้กระสุนที่เหลือ generate cashflow แทน ตัว balance เอาไว้รักษา equity ให้ติดลบให้น้อยที่สุด








กาง stat ออกมาดู 3.6 lots จะพบว่าติดฝั่ง short อยู่ 1.9 lots ราคาตั้งแต่ 1,556 - 1,596 (Range 40 จุด) รวมเป็นเงินติดลบ 3,310$ ส่วนฝั่ง long ติดอยู่ 1.7 lots ราคาตั้งแต่ 1,600 - 1,614 (Range 14 จุด) รวมเป็นเงินติดลบ 986$ ซึ่งจะเห็นว่ามันไม่สมดุลตาม concept การ balance position มันเบ้มาทาง short มากเกินไปในอัตราส่วน 3:1

(แปลว่าถ้าราคา swing ขึ้น up trend ฝั่งที่ติดคือ ฝั่ง  short จะเป็นตัวสร้างปัญหา => ปัญหาควรจะจบที่ 1,556 ขึั้นมาถึง 1,566 จุด ก็เปิด order ฝั่งตรงข้ามให้ balance อีกฝั่งให้เท่าๆ กัน แล้วก็ทิ้งไว้หยั่งงั้นแหละ)

การวางแผนการ swing ยังอยู่ในกรอบระหว่างจุด Entry +,- 30 จุด (Entry วันแรก 1,580 จุด 1,530 - 1,610) ตอนจบอยู่ที่ 1,556 - 1,614 เคลื่อนมา +,- 5 จุด => ราคาปิดวันสุดท้ยอยู่ที่ 1,597 จุด

เพราะฉะนั้นใช้กระสุนฝั่ง long ในการกาง Killing Zone คือ 60 จุด * 0.2 = 12 lots คาดว่าจะ available for moving zone up or down ประมาณ ครึ่งนึง คือ 6 lost ที่เหลือก็เอาไว้ Hedge กะ ยิง follow up trend

ไม่น่ามีปัญหาอาไรแล้วนะ คอย review stat ทุก week แล้ววางแผน สัปดาห์ต่อสัปดาห์ แล้วก็ปรับปรุงแก้ไขสถานการณ์ไปเรื่อยๆ จบ 3 เดือนน่าจะได้ทั้งวิชา KZM, Snowball, Balancing postion, MM และ กองทัพอมตะสำหรับการสร้าง Cash machine แบบถาวรล่ะ น่าจบหลักสูตรล่ะ ที่เหลือก็ต้องไปต่อเรื่อง Global Macro ล่ะ

ส่วนถ้าเข้ารอบไปอยู่กับท่าน Mudley ได้ก็เป็นผลพลอยได้ รวมกำลัง trader ช่วยเหลือสังคมและประเทศชาติต่อไปครับ

บันทึกการเทรด 28-6-2556 => ทดลองระบบบน S&P ก่อนแข่งจริงวันที่ 3












กำไรจากเมื่อวานได้มาอีก 700$ รวม 4 วันได้ 3,600$ เฉลี่ยตกวันละ 900$ ก็ยังทรงๆ คับ







port เมื่อวานก็ซื้อ series U เข้ามาใหม่ วันจันทร์ 1 ก.ค. ก็ Bank กะ ตลาดฯ หยุด
ไปลุ้นวันอังคารเช้าต่อเลยทีเดียว

สรุป port เดือนนี้ แทนที่จะได้กำไร 20% ตามเป้าภายใน 1 เดือนแล้วหยุด กลายเป็นขาดทุน 7% แทน
สรุปว่าได้กำไรครบตามเป้าแล้วต้องหยุด ถอนเงินออกมาเลยดีที่สุด

กลยุทธ์เทรด Future เพียวๆ ก็ยังไม่ดีพอ => เพราะตลาดบ้านเรามันเปิด long กะ short ใน series เดียวกันไม่ได้ จะข้ามไป hedge อีก series นึงก็ดันไม่มีสภาพคล่องอีก => ดีที่สุด คือ ต้องมี underlying assets คู่กับ Future ครับ โดยฝั่งนึงเน้น long และลดต้นทุน generate เพิ่มปริมาณ assets ส่วนอีกด้านนึงเน้น short เพื่อ protect เงินทุนและกำไรของอีกฝั่งนึง เหมือนการซื้อประกันครับ (กลยุทธ์ Zero-Hedge is the best)


Thursday 27 June 2013

บันทึกการเทรด 27-6-2556 => ทดลองระบบบน S&P ก่อนแข่งจริงวันที่ 3













ทดลอง run ระบบวันที่ 3 ได้ cashflow มาประมาณ 665$ ก็ยังถือว่า ok นะ

สรุป 3 วันได้ 2,900$ กับระบบที่ความเสี่ยงต่ำขนาดนี้แต่ได้ return วันละประมาณ 1%
ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว (ตอนนี้มีปัญหาที่ตัว Hedge ที่ติด short อยู่ด้านล่าง ต้องหาวิธี balance position ให้ equity มีค่าติดลบไม่เกิน 1,000-2,000$ ให้ได้ หรือ as less as possible) และหาวิธีหาเกิดการย้ายโซน จะเคลื่องกองกำลังตามยังไงได้ทั้งแผง น่าจะเป็นเรื่องของศาสตร์และศิลป์ล่ะ คงต้องใช้ประสบการณ์ในการ balance เหมือนกับการปั้นก้อนหิมะในมือให้กลมๆ Balance และ Robust พอมันเลือกทางปุ๊บเราก็กลิ้งหิมะที่ปั้นเอาไว้ในมือตามน้ำไปด้านนั้นเลย (ใช้ snowball รึป่าวหว่า...)












วันนี้เป็นวันสุดท้ายของ Series M ต้องเปลี่ยนมา U (ถ้า short ตัวใกล้ long ตัวไกลมาควรจะรีบปิดก่อนซักวันสองวัน เพราะวันนี้ก่อนปิดตลาดมีการไล่ราคา ไม่รู้เจ้าไล่มาเพื่อฆ่าคนทำ spread หรือว่าคนทำ spread ไล่ปิด order กันแน่ เพราะตอนจะปิด M โดนไล่ขึ้นไปไกล แล้ว U ไหลลง)


วันนี้ก็ QHU13 ก็เด้งแรงตามคาด แต่ตอนปิดตลาดยังก่ำกึ่งๆ เลยปิดทิ้งหนีก่อน เด่วพรุ่งดูทรงก่อนค่อยว่ากันใหม่ เป้า SET ยังคงอยู่กรอบด้านบน ก็ต้องดูว่าจะ V-shape ขึ้นไปเลย หรือจะย่อก่อนแล้วค่อยขึ้นต่อ


Tuesday 25 June 2013

บันทึกการเทรด 26-6-2556 => ทดลองระบบบน S&P ก่อนแข่งจริงวันที่ 2












ทดลองระบบต่อเนื่องผลจากเมื่อวานเป็นวันที่ 2 เมื่อวานเน้นเด้งขึ้นมากกว่าไม่ค่อยสวิงล่ะ เลยทำ cashflow ออกมาได้ 839.52$ ก็ยังถือว่าเป็นที่น่าพอใจ => รู้สึกว่ายังขาดระบบ Hedge ขาลงแบบย่อยๆ อีกหน่อย จะได้ไม่เสียโอกาสตอนมันไสลง (แต่ก็อย่าใส่ position ขนาดใหญ่มาก เด๋วติดแล้วจะเปลืองกระสุนฟรี) ขา Hedge ควรจะตั้่ง order ให้มัน take profit แล้วก็เปิด order ต่อๆ กันลงมาเรื่อยๆ (ไม่มีค่าคอมฯ จะกลัวไรเล่า) ก็จะเป็นการใช้ order ขา short ที่ position เล็กๆ อย่างคุ้มค่า

ข้อควรระวัง สำหรับ order ที่เริ่มจะติดนานแล้วตั้ง target profit เอาไว้ ต้องตั้งให้เกินค่า swap เสมอนะ เด๋วจะฟาล์วเอ้าท์ไม่รู้ตัว

ระยะ swing สำหรับวันแรก ดิ่งลง 30 จุดตามคาดพอดีเป๊ะไม่หลุดกรอบ สำหรับวันที่ 2 ก็ 20 กว่าจุด ยังไม่มีอาไรเกินความคาดหมายครับ ยังไม่ต้องแก้เกมส์ใดๆ




 
วันนี้ switching จาก M13 มา U13 สำเร็จจนได้ (ยากจิงๆ) แค่จะปิดไอ่ตัว short ที่ hedge เอาไว้ที่เหลืออีกแค่ 2 สัญญานี่เรียกว่าต้องแย่งกันเลยทีเดียว แต่ก็ทำสำเร็จจนได้ หุหุ
port ค่อยกระเตื้องขึ้นมาหน่อย รอปล่อยที่เป้าสั้นดีกว่า จะใช้ series ต่อไปมาปรับปรุงต้นทุนของระบบใหญ่ก็คงจะไม่มีสภาพคล่องอีก ตลาดเมืองไทยยังคงอีกนานเลยกว่าจะพัฒนาได้ เนื่องจากคนยังขาดองค์ความรู้อีกมาก และเน้นการเก็งกำไรโดยขาดความรู้อย่างแท้จริง

Monday 24 June 2013

บันทึกการเทรด 25-6-2556 => ต่อไปต้องบันทึกการเทรด 2 ตลาดล่ะ งานงอกอีกล่ะ


ถ้า post S&P วันที่ 25 ก็คือ ของวันที่ 24 ส่วน SET ก็ของวันนั้นตรงๆ เลย

 
อันนี้ลอง run ระบบเมื่อวานวันแรก กระสุนมีให้ Max 15 lots ห้าม Stop loss
แปลว่าใครออกแบบระบบได้ดีกว่า และมีวินัยมากกว่าคนนั้นชนะ in long run

เราคีย์ order ฝั่ง long ทีละ 0.1 lot ถ้าถูก 1 จุดจะได้ 5$ ฝั่ง short เอาไว้ hedge ทีละ 1 lot ถ้าถูก 1$ จะได้ 50$ เมื่อวานคาดการณ์ไว้ว่าตลาดน่าจะแกว่งไม่เกิน 60 จุดนับจากตรงกลางตอนตลาดเปิดอยู่ที่ 1580 จุด ถ้าขึ้นก็คงไม่เกิน 1610 ถ้าลงก็คงไม่เกิน 1550 ซึ่งเรา Bias short ตาม TF day

ฝั่ง long ก็ซอยมันถี่ๆ เวลากระเด้งก็กิน cashflow ไปเรื่อยๆ ส่วนฝั่ง short จะ cover ส่วน equity ไม่ให้ติดลบเยอะแล้วก็ทยอยกิน cashflow เหมือนกันด้วยเป็นระยะ

ผลการ run วันแรก ได้มา 1,394.6$ เยอะกว่าที่คิดแฮะ (Swing แต่ไม่มี trend)
แค่ได้เฉลี่ยประมาณวันละ 1,000$ ก็ชนะล่ะ
ต้นทุน 100,000$ เฉลี่ยแล้วควรจะได้เดือนละ 20% หรือ 20,000$ ก็ตกวันละไม่ถึง 1,000$ ดีเลย
(แข่ง 3 รอบก่อน ใครได้เกิน 60,000$ ก็เข้ารอบแน่นอนล่ะ ถ้าไม่ผิดกติการนะ)

แต่ตลาดเมื่อวานมันแกว่งแรงด้วยแหละ ถือว่าโชคดี ขึ้นสุดลงสุดกรอบที่วางไว้เลยคือลงจาก 1580 ไป 30 จุด ที่ 1550 แล้วก็เด้งกลับขึ้นมาใหม่ที่ 1580 จุด อีกรอบ ถือว่าเป็น V-shape ในตำนาน เอาไว้ดักกินเม่าชัดๆ... ตอนนี้มี position ติดอยู่รวมๆ กัน 10 ไม้ก็แค่ 1 lot เอง ติดลบประมาณ 1,000$

step ต่อไป คือ แทรกเก็บกรอบการสวิง ราย day & night ตามสีฟ้าสีส้ม จะได้รู้กรอบการสวิง
แล้วลอง key order ให้กว้างขึ้นหน่อยเป็น 0.2 lot ต่อไม้แล้วเปรียบเทียบการ generate cashflow (เรื่องของเรื่องคือขีเกียจ key order รอทีนึงเป็นร้อยๆ ไม้ ต้องทำทุกวันด้วย)



ส่วน port ทดลอง QH ลืม save รูปหายไปล่ะ
เมื่อวานตลาดเริ่ม rebound หนักช่วงบ่ายเลยปิด series M (ใกล้) ไป 3 สัญญา ยังคงเหลืออีก 2 สัญญายังปิดไม่หมด ส่วน series U เหลือ 6 สัญญาครับ

เอารูปนี้ไปดูแทนตอนที่ spread มันถ่างมากๆ

บันทึกการเทรด 24-6-2556 => อืมตลาดกระโดดลง ช่วงเปลี่ยน series ก็ยากเหมือนกันนะ







อืมม เนื่องจากทำผิดแผนตั้งแต่แรกก็เลยต้องนั่งรับกรรมไปก่อน 555
จริงๆ แล้วต้องมี Underlying Assets ก่อน แล้วค่อย hedge ด้วยตัว future series ใกล้ แล้วไป long ตัว series ไกล แต่เนื่องจากไม่มี assets ก็เลยได้แต่ ติ๊ดชิ่งไปพลางๆ ซึ่งช่วง rebound เราก็เน้นฝั่ง long เป็นหลัก แต่พอตลาดโดดลง ดันมีของฝั่ง long ตัว series ใกล้ มันเลยผิดแผนไปหมด => ตอนนี้ก็ต้องมานั่งแก้พอร์ตไปก่อนพลางๆ

แต่ว่าการเกิด shot แบบนี้ ก็ทำให้เรา fianlize แผนได้หมดล่ะ หุหุหุ ต่อไปจะเป็นการเข็น super cash machine ออกไปกินเจ้ามือล่ะ ใครมี position ตรงข้ามอั๊ว u ต้อง paid...

ขอความรู้สึกแบบที่ว่าเก็บหุ้นจนตัวนั้นหมดสภาพคล่องไปเลยนี่เป็นยังไง... ต้องไปถึงจุดนั้นให้ได้...

**บันทึกความคิด 23-6-2556 - แผนการแข่งเทรด S&P500












นั่งคิดแผนอยู่นานกว่าจะคิดออก
พอคิดออกแล้วก็ออกเอามาทดลอง run ก่อนนะซัก week จะได้ปรับให้เข้ารูปเข้ารอย
แข่งจริง เริ่มวันที่ 1 Jul 2013 ระหว่างเวลาเทรด 3 เดือน

เทรดแบบห้ามมี Stop loss คือ ห้ามผิดนั่นเอง 555
โจทย์ ใครทำให้ port โตมากที่สุดและ generate cashflow ได้สูงสุดเป็นผู้ชนะ (แข่งประมาณ 200 คน++)

จิงๆ เขียนแผนละเอียดเสร็จหมดล่ะ อยู่ใน excel ขี้เกียจพิมพ์ซ้ำล่ะ งานเยอะ เวลาไม่พอ

ถ้าโจทย์บอกว่าห้าม Stop แปลว่า เราต้องเป็นกองทัพอมตะ ต้อง focus ที่การอยู่รอดไม่ใช่ผลกำไร แต่สุดท้ายแล้วก็จะชนะคนอื่นๆ ไปเอง เพราะถ้าเน้นการบุกก็จะได้เยอะจิง แต่ถ้าพลาดทีเดียวก็หลุดจากเกมส์ไปเลย เค้าให้วิ่งมาราธอนแข่งกัน ใครอืดสุด (ขยันสุดด้วย) คนนั้นชนะ

ไม่ทำนายอนาคต เพราะเราจะผิดเสมอ ก็ต้องใช้ผลประโยชน์ขณะปัจจุบันให้ได้มากที่สุด โดยที่มีทรัพยากรจำกัด ยิ่งรุกมาก ก็จะยิ่งโดนตีกลับแรง => เอ๊ะ! นี่มันโกะชัดๆ 555


Focus on process, not result
Survive first, profit later


Sunday 23 June 2013

**บันทึกความคิด 22-6-2556 - Volatility

ว่าด้วยเรื่องของ Volatility

George Soros
Best Quote: "Short term volatility is greatest at turning points and diminishes as a trend becomes established… By the time all the participants have adjusted the rules of the game will change again"
“Outperforming the market with low volatility on a consistent basis is an impossibility,” said Soros, 82. “I outperformed the market for 30-odd years, but not with low volatility.”

"รอ Volatility ดึงดูดก่อนเดี๋ยวเม็ดเงินฝรั่งหรือแม้แต่กองทุนก็กลับเข้ามาติดกับเราเอง :) พวกนี้เล่นเป็น Trend สำหรับมือใหม่ อย่าเล่นดักหน้า รอดักหลังจากเค้าเล่นสบายใจกว่าครับ" - Mudleygroup

"ส่วนพวก Fund ฝรั่งที่เล่นในบ้านเรามันวางแผนกันแค่นี้ อย่าไปยอมครับ สู้ๆ อย่าให้เค้ากินเราง่ายๆ :)" - Mudleygroup




















"ถ้ามีเวลาลองจับเป็น Trend ของ Vol ดูนะครับจะเห็นภาพ เทรน Vol เป็นขึ้นเนี่ยเราต้องระวังครับอาจจะต้องเล่น เฮดจ์ไว้ด้วยบ้าง ส่วนขาลงเราก็เล่นตาม Technical ได้ตามปกติ" - Mudleygroup

เอาแผนที่ขุมทรัพย์ไปดูล่ะกัน อุอุ






**บันทึกความคิด 22-6-2556 - Rate of Return















เอารูปมาจากพี่ต้าน Mudley อีกเช่นเคย

เรื่องนี้สำคัญมากๆ จนคนทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้ เหตุผลเนื่องจากผลกำไรในตลาดมีจำกัด และ 90% ต้องขาดทุนเสมอ เพราะฉะนั้น

1) คุณอย่าเล่นมากเกินไป จนระบบตลาดเสียศูนย์ (Equilibrium) ถ้าคุณเล่นแบบเกาะๆ ไป วิธีการของคุณมันก็ยังคงใช้ไปได้เรื่อยๆ (คือ อย่ากินเงินเจ้ามากเกินไป เด่วเจ้าโกรธ)

2) เพราะฉะนั้นเมื่อถึงจุดที่ได้กำไรแล้วพอสมควร คุณก็ต้อง take profit หนีออกมาครับ มันได้แค่นั้นแหละ อย่าไปโลภมาก (เพราะ เด่วเจ้าโกรธอีกเหมือนเดิม 555 แล้วคุณก็จะโดนท่าไม้ตายใส่)
เด่วมีเวลาจะมาคิดแบบละเอียดอีกที

ข้อความของท่าน Mudley อีกแว้ว 555
ควรตัดค่าเฉลี่ยของระบบมาดูว่าหากระบบคิดถูกโดยมากจะวิ่ง
ไปได้เฉลี่ยระยะทางเท่าไร เพื่อกำหนดเป็นจุด exit แบบ protect model บางส่วน และ จุด hedging portfolio ที่เหมาะสม เช่น หากถูกแล้วส่วนมากจะวิ่งไปได้ 10 จุดโดยเแลี่ย เราก็จะกำหนดจุด hedge positions บางส่วนไว้ที่ 8 จุดหลังเกิดสัญญาณอะไรทำนองนี้เป้นต้น





อ่านของพี่ต้านเพิ่มเติ่มล่ะกันนะครับ
?to
 Mudleygroup
Rate of return (จาก Edward 0 thorp)
วันนี้เราจะมาพูดกันต่อเรื่อง math พื้นฐานก่อนเช่นเคยซึ่งเป้นเรื่องๆที่หลายๆคนคิดไม่ถึงแล้วมองข้ามไป นั่นคือ Rate of return ซึ่งในที่นี้หมายถึงผลตอบแทนตามความเป็นจริงที่เราควรจะได้นั่นเอง สมมุติว่าเราเริ่มต้นด้วยเงินลงทุนต่อ 1 สัญญา เท่าๆกันทุกคนเพื่อให้ง่ายต่อการมองภาพเช่นเดิม 50$ มีจำนวนตนที่อยุ่ในตลาดทั้งสิ้น 100 คน จำนวนเงินที่นำมาลงกันคือ 50*100=5000$ ลองนึกภาพดูง่ายๆว่าแต่ล่ะคนจะคาดหวังผลตอบแทนเท่าไรจากเงินลงทุนเพียงแค่ 50$ ง่ายๆเลยทุกคนหวังผลตอบแทนไม่ต่อกว่า 100$ ต่อเดือนแน่นอน ทีนี้คิดแบบน้อยๆเลยแล้วกันคือ 100$/เดือน เป็น rate of return ต่ำสุดที่ทุกคนคาดหวัง ดังนั้น มีผู้เล่นในตลาด 100 คน ต่างคาดหวังจำนวนเงิน (100$+50$ ต้นทุน)*100คน = 15,000$ ดังนั้นมีเม็ดเงินที่เกินความเป็นจริง หรือเม็ดเงินในอากาศที่คนเราคาดหวังอยุ่สูงถึง 2 เท่าตัวเลยทีเดียว คือ 15,000 - 5000 = 10,000 เงินส่วนเกินนี่เองที่ผู้แพ้จะต้องรับผิดชอบไปหามา หรือโปะเข้าไป
จากตรงนี้เรามาดูกันว่าได้อะไรต่อไป พวกกองทุนมองเห้นอะไรจากพื้นฐานแค่นี้ สมมุติว่าไอ้ผู้เล่น 100 คนประกอบไปด้วยกองทุนต่างๆ 20 คน พวกนี้เป็นกลุ่มคนที่มีวินัยตั้ง rate of return ไวที่ค่าต่ำสุดของค่าความคาดหวังของผู้คนในตลาดคือ 100$ ต่อเดือน พอได้ถึงเป้าแล้ว 20 คนนี้ก็หอบเอาเงินตามเป้าที่ตัวเองตั้งใจไว้ออกไป ซึ่งก็คือ (100+50)*20 = 3000 $ เราจะเห็นว่ากลุ่มคนเพียง 20 % ที่คาดหวังผลกำไรต่ำสุดสามารถกินเงินในตลาดไปเกินครึ่ง นี่เป็นอีกบทพิสูจน์นึงว่าทำไม 90%ในตลาดถึงผลรวมพอรตโฟลิโอขาดทุน จากตรงนี้เราจึงต้องปรับ rate of return ของเราให้เหมาะสมอยุ่เสมอ ไม่มากจนเกินไปนัก แต่ถ้าน้อยมากไปเราก็จะเสียโอกาส คำถามคือ คุณคิดว่า เงินเพียง 50$ ที่เอามาลงทุนเนี่ยมันควรได้ผลตอบแทนสักแค่ไหนกันเชียวลองมองถึงความเป็นจริง ควรได้ 1หมื่น หรอ หรือ 1 พัน ถ้าตลาดให้ผลตอบแทนเป็นหลายร้อยเท่าของเงินทุนคุณขนาดนั้นถึงเป็นเช่นนี้ทำไมธนาคารหรือสถาบันการเงินชั้นนำทั่วโลกถึงไม่ค่อยนำเงินมาลงทุนในตลาดนี้หรือลงทุนในจำนวนที่ไม่มากนักทั้งๆที่เค้ามีเครื่องมือที่พร้อมมากกว่าและบุคคลากรที่ดีกว่า นั่นก็เพราะเค้าทราบดีว่าในตลาดนี้แท้จริงแล้วความเสี่ยงกับผลตอบแทนที่ได้มันไม่คุ้มกับหลักการบริหารความเสี่ยงนั่นเอง แถมยังต้องไปเจอพวกหิวกระหายเลือดเช่นเฮดฟันด์ต่างๆยิ่งทำให้โอกาสชนะยากไปทุกที
ทีนี้สืบเนื่องมาจากตลาดเป็นภาวะ dynamic มีคนเติมเงินเข้าละออกอยู่ตลอดเวลาจึงทำให้ภาพรวมของสมการพื้นฐานที่เรามองเสียไป ทำให้ดูเหมือนมีผลตอบแทน หรือเม็ดเงินให้เราได้อย่างสม่ำเสมอ คำตอบแล้วคือใช่ ตลาดมีผลตอบแทนให้เราได้อย่างสม่ำเสมอถ้าเราเข้าใจหลักการ rate of return อย่างแท้จริงนั่นเอง โดยที่ตลาดจะสลับไปมาระหว่างผู้ซื้อกำไร (long) กับช่วงที่ผู้ขายกำไร(short)
จากหลักการนี้เราข้ามมาดูว่าพวกเฮดฟันด์คิดยังไงดีกว่า ไม่ต้องสนใจรายย่อยของตลาดซึ่งโดยมากแล้วจะเป็นเหยื่อ เรามาลองดูหลักการบริหารของพวกนี้กัน พวกเค้าเข้าใจดีว่าตลาดมันธรรมชาติเป็นอย่างไร แต่ทำไมถึงไม่มีหนังสืออธิบายการทำงานของพวกเค้าอย่างละเอียดมาให้คนธรรมดาได้เข้าใจบ้างตลอดเวลาหลายๆ 100 ปีมานี้ ก็เพราะว่าเราเป็นลุกค้าหรือเหยื่อที่ดีให้กับพวกเค้านั่นเอง เราทำงานประจำทุกเดือนเพื่อมาเสียบางส่วนให้กับตลาดพวกนี้ ดังนั้นคุณคิดหรอว่าเจ้ามือบ่อนจะบอกถึงกลวิธีการนับไพ่หรือสลับไพ่แก่คุณ
ซึ่งกฏเหล่านี้พวกนักพนันอาชีพหรือแม้แต่ผมเองเข้าใจดี
1. คุณจะทำให้คนส่วนมากกำไรไม่ได้เด็ดขาด เพราะถ้าคนส่วนมากกำไรมีโอกาสที่คนพวกนั้นจะเอาเงินออกไปทุกเมื่อ หลายคนอาจเถียงถึงภาวะตลาดหุ้นที่บูมที่ทุกคนต่างก็ได้กำไร แล้วคุณมองว่ากำไรที่ได้มานั้นมันอยุ่นานมั้ย หลังจากภาวะที่ตลาดหุ้นบูมรายย่อยหลายๆคนต่างก็ล้มละลายเพราะเค้าทำให้คุณคิดว่าเงินมันมาง่ายง่ายๆเหลือเกิน นั่นหล่ะ เทคนิคที่ 2
2. ถ้าจะทำให้คนจำนวนมากได้กำไร ต้องมีเหตุผลที่ดีมากพอที่ไม่ให้เค้าออกจากตลาดหรือจากบ่อน เพื่อที่ทำให้คนจำนวนมากเรานั้นต่างหลงมัวเมาอยุ่ในภาวะอันน่าพิศวงนั่นเอง ท้ายสุดนี้พวกนี้ก็จะเอาทุกอย่างไปจากคุณอยู่ดีทั้งต้นทั้งดอก
( อ่านผลงานของ thorp ถือว่าเข้าใจง่ายตามลำดับแล้วประยุกต์ได้ มิน่าหนังสือของเค้าถึงหาซื้อใหม่ๆไม่ได้แล้ว ของมือสองก็ราคาพุ่งสูงมากแล้วจะมาต่อกันนะครับ)

Posted by mudleygroup at 8/20/2006 08:54:00 AM





Friday 21 June 2013

บันทึกการเทรด 21-6-2556 => เด่วนี้ wave c ของ sub-wave 2 ชักลงลึกขึ้นเรื่อยๆ นะ











วันนี้เจ้ากดต่ำทำ wave c ของ sub-wave 2 แบบลึก เด่วนี้เจ้าชักจะเอาใหญ่ล่ะ 78.6% ไม่พอใจ กดจน 100% เป็น double bottom ซะอย่างงั้น แต่อย่างว่าการกดแบบนี้นั้นก็กดเพื่อทดสอบว่าจะหลุดจิงรึป่าวแค่นั้น ราคาอาจจะกดต่ำได้จริงแต่ momentum ที่ซ่อนอยู่ข้างในมันหลอกกันไม่ได้ ถ้าราคาไม่หลุด low เดิม สุดท้าย momentum จะชนะ เราก็รอแค่ reversal pattern ธรรมดาเหมือนเดิมไหลตามเจ้าไปชิลๆ ไปรอออกที่จุดนัดพบ 61.8% เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

ตอนนี้ต้องเปลี่ยนมาเทรด series u ล่ะ จุด trigger อยู่ตรง 905 ปิดตลาดจบแถวๆ 930 แต่เจ้าโหดอีก ทำ streaming ล่ม ทำให้ปิดเอากำไร 25 จุดกลับบ้านไม่ได้ 555 นี่หล่ะ ความก้าวหน้าของประเทศไทย



 
 วันนี้กว่าจะสอย QHU 13 มาได้ ขนาดแค่ 5 สัญญาตั้งรอทั้ง week ส่วน QHM13 ตอนนี้เริ่มมีคนคายของแล้วทีละ 100 สัญญา ส่วน M13 ต้องตัดใจขายทิ้งแบบราคาห่วยๆ จะหมดอายุล่ะ เด่วค่อยไปเอาคืนใน U13 แทน => Single Stock Future ของบ้านเราก็ยังคงมีปัญหาเรื่องสภาพคล่องเหมือนเดิม ขนาดว่าเลือกตัวที่คล่องที่สุดมาล่ะนะ ชักเริ่มจะสงสัยว่าอีกหน่อยจะเก็บ 100-200 สัญญาเนี่ยจะเยอะเกินไปมั๊ย กลัวจะออกไม่ได้เด่วผิดแผน โดนเจ้ามือรับประทานอีก หุหุ










Thursday 20 June 2013

**บันทึกความคิด 21-6-2556 - Reinvestment???

อีกหน่อยเอากำไรมา day trade ใน future เล่นๆ ตั้งเป้า 20% ต่อเดือน ถ้าต้องการเป้าพื้นฐาน 50,000 บาทต่อเดือน ก็ใส่เงินแค่ 250,000 ก็พอล่ะ (ถึงเป้าแล้วต้องถอนเงินออกเลย ไม่งั้นได้ 200-300% แล้วก็ไม่ถอนทุกที เอาไปเล่นวนไปวนมาอยู่นั่นแหละ ต้องขีดเส้นแบ่งเงินให้ถูกต้องระหว่างเงินต้นกับกำไร port ถึงจะโตต่อไปได้ครับ)

รูปด้านข้าง คือ เหตุผลที่ไม่ควรเอากำไรมา Reinvestment นะครับ

อ่านของคุณมดซ้ำ เพื่อย้ำทัศนคติที่ถูกต้อง
http://www.mangmaoclub.com/sequence-of-the-outcome-misconception/
ข้อความสำคัญในบทความคือ ลำดับการเกิดไม่มีผลกระทบ แต่จะกระทบ Max DD ซึ่งจะกระเทือน Mental ให้สติแตกได้ => Reinvestment จะเกิด Max DD มากกว่า No-reinvestment เสมอทุกกรณี

ถ้าคุณ backtest ระบบมาดีหมดแล้วแต่เชื่อว่าระบบทำกำไรได้จริงๆ (หมายถึง หลักการคิดของระบบถูกต้องนะครับ) ก็ทนไปเลยคับ (ส่วนมากเรามักจะซวยตอนเริ่ม run ระบบแล้วเกิดการขาดทุนติดๆ กันก่อน คือ ซวยดันไปเจอ sideway ก่อนตลอด จนคิดว่าระบบใช้การไม่ได้ แล้วก็ทนไม่ไหวต้องเปลี่ยนไปใช้ระบบใหม่อีกเรื่อยๆ) => หน้าที่ของคุณคือต้องวาง MM ให้ถูกต้องและเหมาะกับจริตจิตใจในการทน Max DD ของคุณ (การ fault ติดๆ กันประมาณ 13-14 ครั้งเกิดขึั้นได้เสมอๆ) เราต้องอดทนรอ จนมันผ่านช่วง sideway แบบ too many fault รัวๆ ไปจนเกิด trend ให็ได้ => run system + MM มันจนระบบติดลมบนให้ได้คับ รับรอง ทีเดี่ยวเกษียณเบยยย (กราฟเป็นรูปจรวด take-off แบบ Exponential) => ไม่ต้องกลัวเรื่องของ strategic capacity ของระบบหรอกคับ => แค่เลข 8 หลักก็เกษียณอย่างพอเพียงได้แว้ว หุหุ








บันทึกการเทรด 20-6-2556 => วันนี้ตลาดโหดอีกล่ะ



 
เมื่อคืนลุงเบน จะแถลงก็ไม่ได้เอ่ะใจ เห็นกราฟก่อนปิดเปิดวานยังฟอร์มตัวดี แต่แล้วก็โดนพี่แกทำเจ็บอีกจนได้ แค่พูดว่าอาจจะผ่อนๆ QE (เช้าเปิดมา SET กระโดดลงไป -40จุด) => ข้อเตือนใจคือ ถ้าเอาเงินต้นมาเทรด future ควรจะปิดทิ้งลดความเสี่ยง ถ้าตลาดจะแกว่งแรงมากๆ จน port รับความเสี่ยงไม่ไหว
















พวก page Forex ถึงกับต้องเตือนว่าปิด postion ทิ้งก่อนเที่ยงคืนให้หมด ในขณะที่พี่ต้านโชว์ show snowball บน S&P อีกล่ะ ทำไมมันช่างแตกต่างกันนัก

"รางวัลสำหรับนัก poker ขี้เกียจฟังแระ ขอปิด positions ชิ่งไปนอนก่อนนะครับ ฝันดีน้าหัวเหม่ง 55555  ^ ^" - Panot junior

แปะรูปเก็บไว้ ซักวันต้องทำ snowball ให้ได้บ้าง ตอนนี้ยังคิดกลยุทธ์ได้ไม่หมด




วันนี้ช่วงบ่ายน้องไปซื้อ notebook ใหม่เลยฝากช่วยดู port ก็เลยต้องเทรด S50 future แต่ที่ร้านงานวุ่น ไม่ค่อยมีสมาธิ จะกดคีย์คำสั่งก็ต้องมาจ่ายเงินให้ supplier ตลอด => ยังดีที่ตลาดแกว่งก็เลยพอเทรดได้บ้าง แต่ยังไม่ได้ดั่งใจ เทรดเฉพาะภาคบ่ายได้มาแค่ 10.6 จุด ก่อนหักค่าคอมฯ ไปกลับ 2 ไม้ (แค่กำไรวันเดียวก็ใหญ่กว่า port ข้างล่างล่ะ 555)

ส่วน port นี้หลังจากตลาดกระโดดลงก็ขายไม่ได้ล่ะ ต้องรอ rebound อย่างเดียวที่ 61.8% (wave 1) ตามแผน แล้วก็มัวแต่ไปจ้อง S50 future กลัวทำ port น้องเสีย 555 เลยลืมซื้อ QHU13 เลย วันนี้เจ้าขายโยนของให้แล้วแท้ๆ พลาดแฮะ ทำหลายอย่างก็งงเหมือนกันนะ







กลับมาคิดๆ ดูแล้ว ตอนนั้นตั้งเป้ามาต้องได้ 20% ต่อเดือน พอถึงเป้าแล้วไปเทรดต่อ คราวนี้ต้อง stop loss แล้วเสียดายหายไป 2% => ต้องแก้ใหม่ คราวหน้าถ้าถึงเป้าแล้วต้องถอนเงินจาก Broke เลย ตัดปัญหา

ข้อคิดเพิ่มเติม คือ
stop loss ไปเลยง่ายกว่า ไม่ stop แล้วต้องมาลุ้นรอ rebound
ถ้า stop loss สั้นๆ เงินหายนิดเดียว แต่ไปเทรดต่อได้สบายใจ ไม่เสียโอกาสด้วย (จริงๆ มันเอาไว้ Hedge นี่เอง เล่นกลับด้าน กลยุทธ์เลยผิด ออกไม่ได้)


อีกหน่อยเอากำไรมา day trade ใน future เล่นๆ ตั้งเป้า 20% ต่อเดือน ถ้าต้องการเป้าพื้นฐาน 50,000 บาทต่อเดือน ก็ใส่เงินแค่ 250,000 ก็พอล่ะ (ถึงเป้าแล้วต้องถอนเงินออกเลย ไม่งั้นได้ 200-300% แล้วก็ไม่ถอนทุกที เอาไปเล่นวนไปวนมาอยู่นั่นแหละ ต้องขีดเส้นแบ่งเงินให้ถูกต้อง port ถึงจะโต)

รูปด้านข้าง คือ เหตุผลที่ไม่ควรเอากำไรมา Reinvestment นะครับ

อ่านของคุณมดซ้ำ เพื่อย้ำทัศนคติที่ถูกต้อง
http://www.mangmaoclub.com/sequence-of-the-outcome-misconception/
ข้อความสำคัญในบทความคือ ลำดับการเกิดไม่มีผลกระทบ แต่จะกระทบ Max DD ซึ่งจะกระเทือน Mental ให้สติแตกได้ => Reinvestment จะเกิด Max DD มากกว่า No-reinvestment เสมอทุกกรณี

ถ้าคุณ backtest ระบบมาดีหมดแล้วแต่เชื่อว่าระบบทำกำไรได้จริงๆ ก็ทนไปเลยคับ (ส่วนมากจะซวยต้องเริ่ม run ระบบแล้วเกิดการขาดทุนติดๆ กันก่อน คือ ซวยดันไปเจอ sideway ก่อน จนคิดว่าระบบใช้การไม่ได้ แล้วก็ทนไม่ไหวต้องเปลี่ยนไปใช้ระบบใหม่อีก) => หน้าที่ของคุณคือต้องวาง MM ให้ถูกต้องและเหมาะกับจริตจิตใจในการทน Max DD ของคุณ อดทนรอ จนมันผ่านช่วง sideway many fault รัวๆ ไปจนเกิด trend ให็ได้ => run มันจนระบบติดลมบนให้ได้คับ รับรอง ทีเดี่ยวเกษียณเบยยย => ไม่ต้องกลัวเรื่องของ strategic capacity ของระบบหรอกคับ => แค่เลข 8 หลักก็เกษียณอย่างพอเพียงได้แว้ว หุหุ


 



Wednesday 19 June 2013

บันทึกการเทรด 19-6-2556 => ตลาดย่อลงทำ wave 2 ย่อยแล้วเด้งตามคาด









วันนี้ไม่ได้ทำไรเลยคับ SET ย่อลงทำ wave 2 ย่อยตามคาด
position ที่ติดอยู่ก็ยังปล่อยออกไม่ได้ ต้องไปปล่อยที่ 61.8% - 78.6%
ซักวันสองวันนี้ครับ
แผนการคือต้องปล่อย series M ทิ้งให้ได้ราคาดีที่สุด
แล้วก็ค่อยๆ ทยอย series U ด้วยคับ เพิ่งได้มา 1 สัญญาเอง
(ตั้ง Bid รอทั้งวันไม่มีคน short ใส่เลย ทั้งๆ ที่หุ้นตัวแม่ตก)

Tuesday 18 June 2013

**บันทึกความคิด 18-6-2556 - KZM++

อืมมมมม คือ จริงๆ แนวคิดที่ถูกคือไม่ predict ตลาด
สมมติผมเล็งหุ้น QH
ผมก็จะเอา KZM + snowball model มาจับหุ้น QH
พอกำไร ผมก็จะเอามา Hedge port โดยใช้ QHM13
พอกำไรอีก ผมก็จะเอามา run system + MM บน QHM13 อีกที
ไม่มีการคาดเดา ไม่มี fundamental กราฟเพียวๆ
อยู่บนสมมติฐานอย่างเดียวคือ ทุนนิยมไม่ล่มสลาย บริษัทนี้จะไม่เจ็งไปก่อน
ที่เหลือใช้ MM ควบคุมความเสี่ยงให้หมด
ปิดประตูเสี่ยงให้หมดก็ปิดประตูแพ้

ที่เหลือ port มันก็จะโตไปเรื่อยๆ ของมัน อยู่ที่ความคิดสร้างสรรค์ล่ะทีนี้
key มีอย่างเดียว คือ รักษาเงินต้น แล้วเอากำไรไป leverage
มันก็คือ risk management ซึ่งก็คือ MM นั่นเอง
____________________________________________________________
ใน model KZM ถ้าฝึกไปเรื่อยๆ มันจะได้ skill ระดับสัญชาตญาณ มาครับ
แล้วมันก็จะติดตัวเราไปเอง แต่มันยากตรงที่เราส่วนมากทุกๆ คน อยากจะได้กำไรเร็วๆ
พอจะให้ไปฝึกพื้นฐานที่ตอนแรกมันเหมือนจะดูว่าได้น้อย ก็เลยไม่อยาก
แต่จริงๆ แล้ว ทุกอย่างมันก็เริ่มจากตรงนั้น
ผมรีบมาก สุดท้ายก็ port ระเบิดอยู่ดี ก็วนกลับมาที่เก่า
ได้กำไร 200-300% ไม่รู้กี่รอบ ก็วนกลับมาที่เดิม
ผมก็เลยต้องกลับมาเจาะที่ basic ว่าจริงๆ แล้วคนที่เก่งที่สุดเค้าทำยังไงกัน
จริงๆ แล้วมันต่างกันนิดเดียวที่กระบวนการคิด
แต่ความคิดเริ่มต้นที่ไม่ถูก ตอนสุดท้ายมันจะไม่บานออก
ถ้าเริ่มต้นถูก มันจะบานออกไปได้เรื่อยๆ

____________________________________________________________
เริ่มต้นด้วยความคิดและหลักการที่ไม่ถูกต้อง ผลลัพธ์มันจะไม่บานออก (แถมยังหุบ)
เริ่มต้นด้วยความคิดและหลักการที่ถูกต้อง ผลลัพธ์มันจะเบ่งบานออกเสมอ ขยายแตกกิ่งก้านสาขาออกไปไม่มีที่สิ้นสุด

แต่ความคิดที่ถูกต้อง ในช่วงเริ่มต้นต้องใช้ระยะเวลาในการสะสมเสมอ จะช้าในช่วงแรก แต่จะเป็นอัตราเร่งในช่วงกลางและช่วงปลาย

บันทึกการเทรด 18-6-2556 => วันนี้ตลาดสวิงหลุดโลก ได้ idea เยอะเลยคับ













วันนี้ตอนเช้า SET+20จุด แล้วก็ตอนบ่าย -40 จุด ถ้าไปกลับก็รวม 60 จุด

การที่ SET ล่วงลงมาจาก Peak ที่ 1,647 จุด แล้วมาหยุดโดยที่ Low อยู่ที่ 1,354
ยังไงเราก็ต้อง assume ได้แล้วว่านี่คือการลงแบบ Wave A-B-C ใหญ่
จากนั้นขาของการ Rebound ยังไงก็ต้องจบที่ 61.8% เป็นอย่างน้อย
(โดยสมมติฐานอยู่ที่ว่าถ้า wave c ใหญ่จบแล้ว)
ในขา rebound เป็น wave 1 ย่อยนั้นจะขึ้นไปที่เท่าไหร่ก็ไม่มีใครทราบได้
แต่ว่าขาลงเป็น wave 2 เนี่ยต้องลงลึกแน่นอนตาม nature ของ wave 2 ย่อย ที่ต่อมากจาก Wave C ใหญ่ เพราะทุกคนไม่รู้ว่า Wave C มันจบแล้วหรือยัง
Wave นี้เป็นแค่การเก็งกำไรระยะสั้น เข้าแล้วต้องออก (Take profit)
ถ้าไม่ออกก็ต้อง Short hedge ระบบตัวเองลงมา



กลับมาที่ port
ความผิดพลาดของวันนี้ คือ จิงๆ เรามอง Long bias เวลาผิดทางก็ไม่ได้ออก

ช่วงนี้เจาะ KZM มาก เลยมีความคิดติดหัวว่าจะไม่ Stop loss แต่มันผิด
เพราะจริงๆ แล้วต้องเอา KZM ไปสะสมหุ้นกับ Cashflow ในหุ้นตัวแม่ (Long bias)
แล้วเอากำไรหรือ Cashflow ที่ได้จาก Single Stock Future มา Hedge กับ port แทน (Short bias)

วันนี้ดันเพิ่มอีก 2 สัญญาเพราะคิดว่า SET +20 จุด

ตอนล่วง -40 จุดก็ไม่ได้ cut เพราะคิดว่าต้องไป 61.8% แน่ๆ
แล้วก็ต้องเปลี่ยน series เทรดจาก QHM13 มาเป็น QHU13 ซะด้วย
ก็เลยเกิดอาการกั๊กๆ

เลยได้แนวคิดใหม่ว่า
เอา KZM มาเก็บหุ้น QH ดีกว่า (ดูงบแล้วคงไม่เจ๊งง่ายๆ LH back เต็มอัตรา งบสวย กำไรดี)
แนวก็ทำ model short QHU13 แทนเพื่อปรับปรุงต้นทุน อิอิ แหล่มเลย
____________________________________________________________________
อืมมมมมมม คือ จริงๆ แนวที่ถูกคือไม่ predict ตลาด
สมมติผมเล็งหุ้น QH
ผมก็จะเอา KZM + snowball model มาจับหุ้น QH (Long Bias)
พอกำไร ผมก็จะเอามา Hedge port โดยใช้ QHM13 (Short Bias)
พอกำไรอีก ผมก็จะเอามา run system + MM บน QHM13 อีกที
ไม่มีการคาดเดา ไม่มี fundamental กราฟเพียวๆ
อยู่บนสมมติฐานอย่างเดียวคือ ทุนนิยมไม่ล่มสลาย บริษัทนี้จะไม่เจ็งไปก่อน
ที่เหลือใช้ MM ควบคุมความเสี่ยงให้หมด
ปิดประตูเสี่ยงให้หมดก็ปิดประตูแพ้
ที่เหลือ port มันก็จะโตไปเรื่อยๆ ของมัน อยู่ที่ความคิดสร้างสรรค์ล่ะทีนี้
key มีอย่างเดียว คือ รักษาเงินต้น แล้วเอากำไรไป leverage
มันก็คือ risk management ซึ่งก็คือ MM นั่นเอง
 
หุหุหุ

Sunday 16 June 2013

บันทึกการเทรด 17-6-2556 => เล่นสั้นลุ้น Rebound ที่โซน 61.8%












แผนการเทรดง่ายๆ
1. Bounce & Break 3 เหลี่ยม Entry 3.38 SL 3.34,1R = 0.04
2. MM Risk = 200
฿ => 5 สัญญา
3. 1R ต้อง Shed risk 1-2 สัญญา ที่ 3.48 ดู Momentum อีกที
4. 2.5-3R ปิดเพิ่มอีก 1-2 สัญญา ที่เหลือตั้ง Trailing Stop

หลังจากตลาดถล่มหนักๆ เกือบ 300 จุด TF Month ขาขึ้น TF Week Day ขาลง
แต่ TF 15, 60 เป็นขาขึ้น Rebound หมดแล้วตอนนี้ติดอยู่ที่ fibo 38.2%
MACD อยู่เหนือน้ำ ไม่มี Bearish C/D, Sto >50 good momentum => ราคา Bounce & Break Pattern ก็จัดไปตามสูตร
พอกำไรส่วนหนึ่งก็ shed risk เก็บ Cashflow เข้ากระเป๋า, ส่วนที่เหลือพอถึง Target 2.5-3R ให้เปลี่ยนเป็น trailing stop แทน แล้วเด๋วมา follow up ผลกัน

Target ใหญ่คือ ขา Rebound ปกติต้องไปอย่างต่ำที่ 61.8% ครับ ง่ายๆ อย่างนั้นเลยไม่ต้องคิดไรมาก



 



ก็สรุปว่าวันนี้ราคาก็ยังไม่ไปไหนครับ ช่วงบ่ายไม่อยู่ดูหน้าจอ เลยคีย์รอออกไว้ที่ 1R จำนวน 1 สัญญา 3.48 ก็ปรากฎว่าไหลขึ้นไปโดน พอกลับมาแล้ว ดู SET รวมๆ ยังไม่ค่อยน่าไว้ใจเลยปิดเอากำไรเล็กๆ ไปอีก 1 สัญญา สรุปตอนนี้ port รวมกลับมา +20% ล่ะ ต้องคอยดูว่าถึงสิ้นเดือนแล้วจะได้ซักเท่าไหร่ ขอ Smooth Equity Curve หน่อยล่ะกันนะ ไม่เอาล่ะ Drawdown หนักๆ อ่ะ ไม่ไปไหนซักกะที





 

Thursday 13 June 2013

บันทึกการเทรด 13-6-2556 => ตลาด panic sell แล้วเด้งแรง


ไม่ได้เขียนบันทึกการเทรดซะที อยู่ดีๆ ก็กดไปเจอ Blog ที่ตัวเองเคยสร้างเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะเนี่ย
ไหนๆ ก็เจอแล้วเขียนเลยล่ะกัน

อันนี้เป็น port สาธิต เริ่มต้น 10,000 บาท ต้องทำให้เป็น 20,000 บาท หรือ 100% ให้ได้
ไปดูมาล่ะ วิธีการตั้งเป้าหมาย port แบบนี้ ให้ตั้งเดือนละ 20% พอ => make sense ที่สุดล่ะ

วันนี้ตลาด panic พอดีก็เลยได้ 25% เลย วันก่อนๆ โน้นโดน stop loss ไป 2 ครั้งเลย Drawdown ลงไป
อ๊ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อน หุหุ

กรูแม่งมี Blog ด้วยหรอว่ะ แสรดด

กรูแม่งมี Blog ด้วยหรอว่ะ แสรดด ไม่รู้ตัวเลยนะเนี่ย 555 เสร็จกรูล่ะมรึง ทีนี้อ่ะ