Tuesday 3 May 2022

ภาค Reborn - เหนื่อยนักพักก่อน #10

ไม่ได้อัพ Blog มาสองปีกว่าแล้วแฮะ

ตอนนี้เริ่มจะมีเวลาว่างล่ะ เพราะเกษียณจากงานประจำล่ะ  ถถถ


สองปีกว่าที่ผ่านมาก็ไม่มีอะไรมาก ก็คือ ลาออกจากนึงแล้วก็ย้ายไปทำอีกงานนึงที่คิดว่าใกล้บ้าน

เนื่องจากเรารู้อยู่แล้วว่างานประจำมันไม่ใช่ทางน่ะ เราก็รู้อยู่แล้วว่าเรามาทำงานแค่ชั่วคราว 

เพราะเดี๋ยวเราก็ต้องเกษียณย้ายไปอยู่ ตจว ล่ะตามแผนเดิม  ก็คือทำเพื่อแค่รอเวลาเลิกน่ะแหละ

จะทำงานเพื่อจะให้ได้ promote ก็ไม่ได้อยากจะขึ้น เพราะด้วยลักษณะงานหรือองค์กร สภาพแวดล้อมต่างๆ

เราเห็นอยู่แล้วว่าขึ้นไปแล้วเป็นยังไง จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดแต่ละเส้นทางมันเป็นยังไง 


พวกตำแหน่งสายงานเรา ขึ้นไปต่อก็เป็น CFO, CEO แล้ว

แต่เราไม่เคยคิดอยากจะทำตำแหน่งพวกนี้เลยนะเอาจริงๆ รู้สึกว่ามันไม่สนุกแล้วอ่ะ

คือจริงๆตัวเรา ก็เป็น Growth mindset นะ ไม่มีใครอยากทำอาไรแล้วก็ย่ำอยู่ที่เดิมหรอก 

มันก็ต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ อยู่แล้ว การออกนอก Comfort Zone มันเป็นเรื่องปกติธรรมดามักๆ


แต่การวาง positioning ตัวเองในที่ทำงานให้เป็นแบบไม่ Growth ตามที่เราวางแผนไว้นี่ก็ยากเหมือนกัน

คือด้วยคุณภาพมาตรฐานการทำงานของตัวเองมันค้ำคออยู่ ถึงเราจะทำงานแบบเงียบที่สุด

มันก็ไม่วาย ที่จะต้องโดนดันขึ้นไปเรื่อยๆ อยู่ดี


คือเราก็ทำงานถ้านับเฉพาะแนวๆ แบบงานประจำนี่ก็รวมๆ ก็ยี่สิบปีได้ล่ะ

เป็นองค์กรแบบ Consultant กับ Corporate อย่างละสิบปีได้ ทำมา 5-6 บริษัทได้

ตอนสมัยเด็กๆ เราวาง position ตัวเองว่าเป็น Rookie star น่ะ มีอาไรกรูทำหมดแบบทุ่มเท

ซึ่งงานแรกทำเป็น IB น่ะ งานมันก็หฤโหดเหลือเกินสำหรับเด็กอายุ 20 จะบอกว่างานมันโคตรยากเลย

เอาจริงๆ งานตอนที่ทำตอนอายุ 20 กว่านั่นจะว่าไปก็พอๆ กับที่ทำตอนอายุ 40 กว่านี่เลยแหละ

เผลอๆ อาจจะยากกว่าด้วย คือ เราเริ่มต้นด้วยงานที่ยากที่สุดตั้งแต่เด็ก 

แล้วก็ใช้วิชานั้นทำมาหากินมาเรื่อยๆ คือ จะบอกว่าเงินเดือนขึ้นมาเป็น 10 เท่าแต่เนื้องานเหมือนเดิมเลย 

หรือจริงๆ เราอาจจะโง่ก็ได้นะ คือกรูนี่แม่มได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นตามอายุนี่เอง ไม่ได้ขึ้นด้วยความสามารถ 55


เรื่องการวาง positioning ในที่ทำงานนี่ผมคิดว่าสำคัญมากระดับกลยุทธ์เลยแหละ

คือ มันเป็นตัวกำหนดไว้ว่าตัวคุณจะเป็นยังไงในองค์กรต่อไปน่ะแหละ

ยกตัวอย่างเช่น ตอนเด็กๆ ผมวางตัวเป็น Rookie star นะ หน้าใหม่ไฟแรง มีอาไรกรูทำหมด ช่วยเค้าไปทั่ว

ถ้าอยู่ในองค์กรที่เป็น Consult ผมก็จะได้ promote ทุกปีพร้อมโบนัส 6 เดือน

ถ้าอยู่ในองค์กรที่เป็น Corporate ผมก็สามารถ Double เงินเดือนขึ้น 100% ได้ภายในระยะเวลา 2 ปี

แต่หลังจากการเป็น Rising star ข้อเสียก็คือ งานทุกอย่างจะไหลมาที่มรึงหมดเลยย!!

ซึ่งมันก็ต้องแลกมาด้วยการทำงานหนักโคตรๆ เวลาที่หายไป และสุขภาพที่ทรุดโทรม


หลังจากที่เริ่มเก๋าเกมส์ขึ้น เวลามีน้องๆ มาปรึกษา เราก็จะแนะนำว่าให้เริ่ม positioning ตัวเองละว่า

ในองค์กรนี้เราจะเป็นแบบไหนดี จะเล่นบทบาทอะไรดี จะแสดงออกอย่างไรดี จะ react ยังไงดี

คุณจะอยากเป็น Rising star เป็น Successor เป็น Backbone เป็นท่อนไม้ หรือเป็นตู้ปลา มันก็แล้วแต่คุณ

คุณอยากจะ Work life balance แต่ performance คุณต้องได้ โบนัสต้องดี คุณก็ต้องคิดว่าคุณจะทำยังไง

แต่ถ้าคุณอยากเป็น Star แต่ถ้าคุณ Balance งานที่มันจะไหลมาเทมาไม่เป็น งานมันก็จะทับคุณตาย!!!


ป.ล.

1)  คุณพ่อผมเสียแล้วเมื่อสงกรานต์ปีก่อน คือ อาการท่านแบบว่ากินข้าวเสร็จแล้วก็ไปนอนพักเอนหลังหลับแล้วก็ไปเลยเวลาประมาณ 6 โมงเย็น ไม่ได้เสียเพราะติดโควิดนะ พ่อไม่ได้เป็น แต่เสียด้วยอาการชราภาพหลังจากที่ผ่าตัดใหญ่มาแล้ว 5 รอบ ท่านก็อยู่มาได้อีกประมาณ 6-7 ปี ก็คืออวัยวะภายในหมดอายุขัยแล้วแหละ สังเกตได้จากตอนที่ผ่าตัดมาใหม่ๆ เมื่อ 6-7 ปี คุณพ่อผมเดินออกกำลังไปทั่วหมู่บ้านเลย ตอนแรกรัศมีการเดินจะอยู่ที่ประมาณ 1 กิโลต่อวัน ไปเดินได้เองโดยไม่ต้องมีคนดูแล แล้วระยะทางก็จะค่อยๆ สั้นลงเรื่อยๆ ไปทุกๆ ปี หลังจากนั้นก็เริ่มจะมีหกล้มบ้าง คุณแม่ก็จะเริ่มเป็นห่วง ก็ต้องมีคนไปเดินด้วยเพราะว่ากลัวจะหกล้มอีก ช่วงหลังๆ ตอนที่ผมพาไปเดินนี่ ระยะทางประมาณแค่ 100-200 เมตร อาจจะต้องใช้เวลาเดินเกินครึ่งชั่วโมง ซึ่งท่านก็จะเหนื่อยมากล่ะ เหงื่อแตก มีหอบหายใจไม่ทัน คือ พ่อผมเป็นคนชอบออกกำลังกาย ต้องให้คนพามาเดินตลอด => หลังจากนั้น ก็เริ่มเปลี่ยนจากเดินนอกบ้านมาเป็นเดินในบ้านแทน จากเดินขึ้นลงชั้น 1 ชั้น 2 ได้เอง ก็เริ่มเดินขึ้นลงบันไดไม่ไหวล่ะ ครั้งสุดท้ายที่พากลับมาจาก รพ ก็คือ ผมกับน้องชายต้องให้ท่านนั่งบนเก้าอี้ แล้วผมกับน้องชายก็ช่วยกันยกเก้าอี้ขึ้นไปที่ชั้น 2 แทน คือ จะประคองปีกให้เดินก็ไม่ไหวแล้วคับ และเนื่องจากเป็นต่อมลูกหมากโตด้วย ก็เลยต้องใส่สายสวนปัสสาวะพร้อมมีถุงฉี่ติดตัวตลอดเวลา

สุดท้ายพ่อผมก็ต้องจากไปตามสัจธรรม ถามว่าผมเสียใจมั๊ย ก็คือผมทำใจไว้แล้วตั้งแต่การผ่าตัดใหญ่ทั้ง 5 รอบที่ผ่านมา ตั้งแต่การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ ผ่าตัดเส้นเลือดในสมองแตก ผ่าตัดเปลี่ยนเส้นเลือดหลักจากหัวใจที่ไปเลี้ยงสมอง บลาๆๆ  ซึ่งผมว่าช่วงเวลาหลังจากนั้นที่ครอบครัวเราได้อยู่ร่วมกันพร้อมหน้าพร้อมตากันก็คือโบนัสแล้วแหละ ซึ่งก็ทำให้ครอบครัวของเราแต่ละคนแข็งแรงขึ้น แข็งแกร่งขึ้น ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้ด้วยกัน พอถึงวันที่ต้องจากลาจริงๆ ทุกคนก็ทำใจได้แล้ว คุณพ่อผมตอนจากไปก็ถือว่าไปสบายไม่ได้ทรมาน ระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่ก็ถือว่ามีความสุขดี กินได้อร่อย นอนหลับง่าย ขับถ่ายสบาย ไม่ได้เจ็บออดๆ แอดๆ มีแค่เพียงเดินได้ช้าลงขยับตัวได้ช้าลงตามวัยและสภาพร่างกายก็เท่านั้น ส่วนตัวผมเองก็คิดว่าได้ทำหน้าที่ของบุตรได้เท่าที่ตัวเองจะสามารถทำได้แล้วอาจจะไม่ได้ดีที่สุด แต่ก็คิดว่าไม่มีอะไรที่ค้างคาใจ สิ่งที่ผมคิดว่าทำให้คุณพ่อได้ผมก็ทำไปหมดแล้วตามกำลังและความสามารถที่มีครับ 

2) หมาที่บ้านผมมี 4 ตัวทุกตัวแข็งแรงดี แต่มีอยู่ตัวนึงอายุน่าจะ 10 ปีนิดๆ อยู่ดีๆ มันก็เดินไม่ได้แล้วก็เริ่มขยับตัวไม่ได้ ได้แต่นอนนิ่งๆ จะลุกขึ้นมากินข้าวเองก็ไม่ได้ ซึ่งจากประสบการณ์ที่เลี้ยงหมามาแล้วหลายสิบตัวจำไม่ได้ อาการแบบนี้ปกติจะอยู่ได้อีกไม่เกิน 2-3 วัน แต่ปรากฎว่า พอผ่านไปอีกหลายวัน มันดันไม่ตายแฮะ พอไปตั้งใจดูดีๆ ก็พบว่าถึงมันจะผอมเพราะกินข้าวไม่ค่อยได้ แต่พลังชีวิตยังดีอยู่ แค่ขยับตัวไม่ได้เท่านั้น ก็เลยตัดสินใจพาไปหาหมอเผื่อตรวจอาการ จะได้ดูว่ามันเป็นอาไรกันแน่ จะได้รักษาได้ถูก => พอเอาไปหาหมอ หมอก็ไม่รู้เป็นอาไรหรอก ก็เลยต้องตรวจนู่นนี่นั่น ดูว่าเป็นโรคพยาธิมั๊ย ติดเชื้อในกระแสเลือดป่าว X-Ray ดูทั้งตัว จนสรุปได้ว่าเป็นมันเป็นโรคกระดูกสันหลังงอก!! ตรงข้อต่อ 2-3 อัน ซึ่งทำให้เจ็บมากจนขยับตัวไม่ได้ หรืออาจจะขยับได้แต่เจ็บจนไม่อยากขยับ สาเหตุ หมอบอกว่าน่าจะมาจากหมาที่อายุมากแก่ๆ ก็มีโอกาสเป็นได้ เอาจริงๆ ก็เพิ่งเคยเห็นเป็นตัวแรกนี่แหละ ถามว่ามีทางรักษามั๊ย ก็จริงๆ อาจจะต้องผ่าตัดหลังมั้ง แต่หมามันแก่ซอมขนาดนี้แล้วคงไม่ไหวหรอก ก็เลยต้องรักษาตามอาการให้หมอจัดยาที่คิดว่าดีที่สุดเอามาให้ เพื่อลดความทรมาน รวมทั้งสอนวิธีกายภาพ => หลังจากหมอจัดยามาให้ก็พยายามดูว่าเป็นยาประมาณไหน คุณแม่ผมก็ไปหาที่ดีกว่านั้นมาอีก เอายาพวกที่บำรุงปลายประสาท พวกวิตามินต่าง พวก Ensure ที่พ่อชอบกิน ก็เอามาบำรุงเจ้าหมีแบบจัดเต็มพร้อมทำกายภาพให้มันทุกวัน => คือสรุปอาการมันก็ดีขึ้นน่ะแหละ ดูแล้วมันไม่เจ็บไม่ทรมาณล่ะ อ้วนท้วนแข็งแรงขึ้น เริ่มที่จะขยับตัวไปมาได้ พลิกตัวเองได้ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ติดอย่างเดียวคือ มันลุกขึ้นมาเดินเองไปไหนมาไหนเองไม่ได้ เปรียบเสมือนคนป่วยติดเตียง => ซึ่งอันนี้แหละคือเรื่องใหญ่ ถ้าใครเคยดูแลผู้ป่วยติดเตียงก็จะรู้ว่าเหนื่อยแค่ไหน แต่อันนี้มันเป็นหมาที่เราเลี้ยงเอาไว้ในกรงนอกบ้าน พอมันขี้มันเยี่ยวที มันก็ร้องให้เราไปเก็บขี้เก็บเยี่ยวให้ เพราะมันไม่อยากนอนทับขี้เยี่ยวมันเอง ซึ่งเราก็เข้าใจ คนในครอบครัวก็พยายามช่วยกันทำให้มันแหละ คือตอนกลางวันไม่เป็นปัญหาหรอก แต่มันจะหนักตอนกลางคืนนี่แหละ ซึ่งมันก็จะขี้เยี่ยวตอนตี2-ตี3 บ่อยๆ แล้วก็จะร้องโอดโอย ไอ่เราก็ต้องรีบตื่นลงมาเพราะเกรงใจเพื่อนบ้าน คุณแม่ยังบ่นอยู่ว่า พอไม่ต้องดูแลพ่อแล้ว ก็ต้องมาดูเจ้าหมีแทนอีก 55 => เหตุการณ์มันก็วนเวียนไปแบบนั้นผ่านไป 5 เดือน คือมันก็ดูแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่เหมือนหมาที่กำลังจะตายล่ะ แต่ทุกครั้งที่มันขี้เยี่ยวตอนกลางคืน แล้วต้องผมลงมาเช็คขี้เยี่ยวให้มันก็รู้สึกสงสารจับใจน่ะแหละ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะพ้นทุกข์ซะที (คือเราก็จะได้พ้นทุกข์ไปด้วยน่ะ ถถถ) แต่ละครั้งก็คอยอุทิศส่วนกุศลไปให้เจ้ากรรมนายเวรของเจ้าหมี คุณแม่ก็ทำสังฑทานให้ด้วย... จนพอมาถึงวันตรุษจีนไหว้เจ้าเท่านั้นแหละ แม่ผมก็อธิษฐานขอให้เจ้าหมีหาย... ปรากฎว่าวันต่อมา เจ้าหมีมันก็ลุกขึ้นมาเดินเองจนได้ราวกับปาฏิหาริย์!!!


เหตุการณ์นี้ Amazing มักๆ คือ ปกติจะเชื่อในเรื่องบุญกรรมอยู่แล้ว จะมองเป็นแบบรูปพลังงานบวกลบ หรือหยาบละเอียดก็ได้ เวลาที่เจอญาติมิตรที่กำลังไม่สบายกายไม่สบายใจ ก็เลยมักจะพยายามอุทิศส่วนกุศลแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรทุกคนที่รู้จักที่กำลังเจ็บป่วยอยู่ ส่วนมากเกือบทั้งหมดก็จะอาการดีขึ้นนะมีเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ หลายคนที่เกือบตายเป็นพวกลูคิเมีย, SLE, มะเร็งนู่นนี่ แต่ก็ยังอยู่ดีมาได้จนถึงทุกวันนี้ มีตายไปแล้วก็หลายรายส่วนมากจะเป็นมะเร็งแบบแรงๆ ที่มารู้ทีหลังจากที่มันลามไปทั้งตัวแล้วอันนี้ก็จะยากเกินไป => คือผมแค่อยากจะบอกว่าวิธีนี้ก็ช่วยได้จริงๆ แค่นั้นแหละ ถ้าชะตาชีวิตยังไม่ถึงฆาตจริงๆ ก็เอาไปลองดูกันได้ไม่เสียหาย ใครที่มีญาติมิตรกำลังเจ็บป่วยอยู่ ยกตัวอย่างเจ้าหมีนี่แหละดีที่สุด คือ ทุกวันนี้มันลุกขึ้นมาแล้วกินข้าวเองได้ไม่ต้องนอนให้ป้อนข้าว ไปขี้เยี่ยวเองได้ ถึงแม้ว่ามันจะเซๆ หน่อย ไม่ต้องนอนร้องโอดโอยตอนกลางคืน ก็ถือว่าเป็นสุดยอดที่สุดล่ะคับ 😇


ว่าจะเขียนสั้นๆ นึกว่าไม่มีไรจะเขียน

แต่พอเขียนแล้วก็เริ่มยาวทุกที 555 #จบ


No comments:

Post a Comment