Friday, 12 October 2018
ภาค Reborn - เหนื่อยนักพักก่อน #8
ไม่ได้ update blog มานาน (อีกแล้ว) ฮาๆ
คือ อยากจะบอกว่าอยากจะเขียน blog นะ แต่รู้สึกว่าใช้เวลานาน
ไม่อยากจะเขียนแบบว่านึกๆ อะไรได้ก็เขียนๆ ไปเหมือนแต่ก่อน
อยากเขียนอะไรที่มันตกผลึกแล้วมากกว่า แต่จะรอให้มันตกผลึก มันก็นานไง
ก็เลยเป็นข้ออ้างให้ไม่ได้เขียนอยู่นั่นแหละ ฮาๆ
ช่วงที่ผ่านมา ก็ยังคงทำงานอยู่ในองค์กรที่มีวิกฤตนั้น
ทำมายังไม่ถึงปีเลย เปลี่ยน CEO ไป 2 คนแล้ว บอร์ดก็เปลี่ยนเกือบยกชุด
เปลี่ยนผู้ถือหุ้นใหญ่ด้วย เปลี่ยนนู่นนี่นั่นเต็มไปหมด
เป็นองค์กรที่มีปัญหาแบบว่า แต่ละคนก็ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะแก้ยังไงดี
เป็นองค์กรที่แบบว่านักข่าวก็ช่วยกันลงข่าวโจมตีเหลือเกิ๊นนนน ฮาๆ
คนที่ทำงานส่วนของเราก็ลาออกหนีไปกันหมด
ขนาดพี่ที่ชวนมาทำงานด้วยก็ยังอยู่ไม่ได้แล้วเหมือนกัน
พอคนลาออกไปหมด ไอ่เราก็ดันเป็นคนต้อง run ตัวเลข Model ของบริษัท
ยังไม่มีใครทำแทนได้ ขนาดประกาศรับสมัครงาน ก็ยังไม่มีใครมาสมัครเลย ไม่น่าเชื่อ ฮาๆ
งานนี้รับเต็มๆ เหมือนเดิม ดิ้นๆๆ ทำๆ คนเดียวไป 4-5 เดือน จนวันนึงอยู่ดีๆ ก็เป็นไข้ขึ้นมา
ก็กลับบ้านไปนอน ลางาน 1 วัน ไข้ก็ลดลง พอกลับไปทำงานอีกวันนึงเลิกดึก
คราวนี้เป็นไข้กลับมาอีกล่ะ ไข้ขึ้นสูงมากด้วย คิดในใจว่าอาการนี้ไม่ธรรมดาแน่ๆ
คือปกติถ้าเป็นไข้แล้วหาย แล้วกลับมาเป็นอีกให้ระวังตัว รีบไปหาหมอได้เลยคับ
ไปถึงให้หมอตรวจเบื้องต้นก็ admit ทันทีเลยจร้า ก่อนตรวจเลือดหมอเดาว่าเป็นไข้เลือดออก
พอผลตรวจเลือกออก ปรากฎว่า "ติดเชื้อให้กระแสเลือด" หึหึหึ เอาล่ะสิ
โรคยอดฮิตที่ทำคนตายมาเยอะ หึหึหึ
แต่เป็นเชื้ออะไรยังไม่รู้ ต้องเอาเชื้อไปเพาะดูก่อน ระหว่างนั้นก็ให้ยาฆ่าเชื้อแบบครอบจักรวาลไปก่อน
คือ อยากจะบอกว่าเกิดมาไม่เคยนอน รพ เลยนะครัช ไม่เคยหาหมอเลยดีกว่า
เคยนอนทีเดียวตอนผ่าตัดกระดูกต้นขา เนื่องจากอุบัติเหตุ แต่ไม่เคยนอนเพราะป่วยด้วยเชื้อโรค
คิดว่าตัวเองก็แข็งแรงมากพอสมควร แบบว่าลุยมาตลอด คิดว่าร่างกายมันยังเอาอยู่
(แบบว่างานก็หนักจะตายอยู่แล้ว ยังทะลึ่งไปลงวิ่ง Half-marathon ที่ ตจว อีก 555)
ผลเพาะเชื้อออก ปรากฎว่าติดเชื้อแบคทีเรียแบบแกรมบวก เป็นเชื้อ Streptococcus กลุ่มบี
ชื่อ Streptococcus agalactiae หมอบอกว่าระบุที่มาของเชื้อไม่ได้ว่าติดมาจากทางไหน
เพราะ scan ตรวจร่างกายหมดแล้ว ไม่พบจุดที่ผิดปกติเลย (และเชื้อมันมาจากไหนก็ไม่รู้ด้วย)
ปกติหมอก็จะ scan ตรวจว่าเชื้อมันเข้ามาทางไหน จะได้ไปรักษาที่ต้นเหตุ แต่หาไม่เจอ (ฮา)
ที่สำคัญคือทำ Echo scan ดูว่าติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจด้วยมั๊ยเพราะเป็นจุดที่อันตราย ผลก็ปกติ
ก็ตรวจจนหมดอ่ะ จำไม่ได้ล่ะว่าตรวจอะไรบ้าง ผ่านมาหลายเดือนล่ะ
ถ้าให้ตัวเองสรุปก็คือ ร่างกายมันคง weak สุดๆ เกินจะทนแล้วล่ะ จนภูมิคุ้มกันมันเริ่มอ่อนแอ
พอมีเชื้อโรคซึ่งไม่รู้ลอยมาจากทางไหน แล้วมันก็ดันทะลึ่งหลุดเข้ามาในระบบเลือดอีก
ซึ่งปกติมันจะเข้าตรงที่มีแผล หรืออาจจะรูทวารเลยก็ได้นะ (ถ้าผู้หญิงปกติจะติดตอนผ่าคลอด)
พอมีเชื้อโรคหลุดเข้ามา ร่างกายมันก็จะเร่งความร้อนในร่างกายเพื่อฆ่าเชื้อโรค ไข้มันก็เลยขึ้น
ตอนนี้ก็อยากจะบอกว่า ถ้าไข้ขึ้นนี่คือ ต้องเฝ้าระวังตัวกันให้ดีๆ ล่ะนะ
การติดเชื้อในกระแสเลือด น่ากลัวตรงที่ถ้ารักษาช้าก็ตายลูกเดียวน่ะคับ
เช่น เชื้อมันลามไปเกาะลิ้นหัวใจ หรือลามขึ้นสมอง ถ้ามารักษาช้า ก็แล้วแต่สภาพเลย
ช่วงที่นอนอยู่ รพ ก็ search google อ่านไปเรื่อยๆ แต่ละเคสนี่ดูไม่จืดเลย
คือ เชื้อบางตัวมันอาจจะไม่แรง แต่ตัวที่แรงคือระบบภูมิคุ้มกันของเราเองนี่แหละ
ที่มันออกมาทำลายเชื้อจนทำลายตัวเองไปด้วย (เขียนตามความเข้าใจเท่าที่จำได้ โปรดอย่าเชื่อ!)
เคสของผมยังโชคดีที่รู้ตัวเร็ว รีบมารักษาก่อน เจอเชื้อที่ไม่ดื้อยา
และมันยังไม่ลามไปติดเชื้อตรงจุดที่สำคัญ ก็เลยแค่ฉีดยาฆ่าเชื้อไปเรื่อยๆ
รวมๆ แล้วก็ประมาณ 3 weeks ฉีดๆ ไปรวมๆ ก็น่าจะ 40 เข็ม ฉีดจนพรุนไปหมดเลย
แล้วยาฆ่าเชื้อมันก็แรงด้วย ให้ยาทีแสบเส้นเลือดเลย ขวดนึงใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
พอให้ยาแล้วเส้นเลือดมันก็จะบางลงเรื่อยๆ ด้วย
พอถึงจุดนึงมันก็เริ่มเปราะ ฉีดยาไปเส้นเลือดก็แตกอีก ต้องเจาะใหม่อีก รูเต็ม 2 แขนเลย ฮา
ข้อดีคือ ได้หยุดพักงานเต็มที่เลย 2 weeks เต็มๆ
#สรุปยังรอดมาได้ครับ 555
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment