อยากจะเขียนเรื่องธรรม (ชาติ) ในระดับที่เราพอจะเข้าใจในระดับหางอึ่งเก็บเอาไว้อ่านบ้าง
เวลาน้อย ต้องเขียนเร็วๆ ลวกๆ อีกล่ะ
เมื่อคืนตอนจิตเกิดอาการก็นอนดูจิตไปเรื่อยๆ
ก็พบว่าในความเป็นจริงแล้ว เราแม่มก็บังคับจิตตัวเองไม่ได้นี่หว่า
เวลามันจิตมันจะเสวยอารมณ์ก็ไปห้ามไม่ให้มันเสวยไม่ได้ 555
ก็แปลว่าจริงๆ แล้วจิตกรูแม่งก็ไม่ใช่ของกรูนี่หว่า เพราะถ้าเป็นของกรูจริงๆ กรูต้องควบคุมมันได้ 100%
แต่นี่เราทำได้จริงๆ แล้วมีแค่เพียงแยกตัวรู้ (สติ) ออกมาดูมัน (จิตที่กำลังเกิดอาการ, เสวยอารมณ์)
ก็ทำได้เท่านั้นจริงๆ พอดูมันไปเรื่อยๆ เด่วจิตมันเบื่ออารมณ์ที่เสวย มันก็หายบ้าไปเอง
ก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติ (แต่ถึงอยากจะคงอารมณ์นั้นไว้ก็ทำไม่ได้เช่นกัน)
เปรียบเทืยบง่ายๆ ก็คือ เราควรเป็นดูหนังแบบไม่อิน อย่าพยายามเป็นพระเอกลงไปเล่นเอง
เพราะฉะนั้นๆ สภาวะของจิตที่ดีที่สุดก็คือ สภาวะกลางๆ ไม่มีอาการ ไม่เสวยอารมณ์
การใช้ปัญญาพิจารณาสิ่งใดๆ ก็จะไม่มี Bias สามารถมองเห็นได้ตามความเป็นจริง
(ที่สำคัญ คือ อย่าหลอกตัวเอง ว่ากรูไม่ได้ Bias นะ)
คราวนี้มาดูเรื่องการควบคุมสิ่งที่คิดว่าเป็นของเรา 100% บ้าง แล้วเราควบคุมมันได้ 100% จริงไหม
ตัวเรามีไรบ้าง หลักๆ ก็มีร่างกาย (ขันธ์ 5) จิต และความคิด
อย่างถ้าเรารู้ว่าเราจิตแข็ง เราก็จะคิดว่าควบคุมจิตเราได้ทั้งหมดใช้มั๊ย แต่จริงๆ ก็ยังควบคุมไม่ได้
เหมือนเหตุการณ์ตอนนอนเมื่อคืน ที่เราไม่สามารถห้ามไม่ให้จิตไปเสวยอารมณ์ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น หงุดหงิด ไม่ได้ดั่งใจได้
แล้วความคิดล่ะ เราป้องกันไม่ให้คนอื่นควบคุมความคิดเราได้ แล้วเราควบคุมไม่ให้มันคิดชั่วได้ 100% มั๊ยล่ะ อาไรที่เรากดมันเอาไว้ บางทีมันก็ยังแอบแว๊บขึ้นมาได้เรื่อยๆ (หินทับหญ้า) หรือเหมือนกับบางทีเราอยากจะทำจิตว่าง แต่ความคิดแม่มก็จะผุดขึ้นมาอยู่นั่นแหละ ควบคุมไม่ได้ แต่ถ้าทำสมาธินิานๆ ความคิดจรมันก็จะหายไปเอง เพราะเราอาจจะไป focus ที่ลมหายใจแทน หรือจุดใดจุดหนึ่งแทน
แล้วอย่างร่างกายล่ะ เราสั่งให้มันยกมือ เดินเหินอาไรก็ได้ใช้มั๊ย แต่เราบังคับไม่ให้มันไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่ได้
เพราะอาไร ก็เพราะทุกอย่างมันตั้งอยู่บนกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)
คือ ไม่เที่ยง เพราะมีการหมุนของเวลา ทำให้ทุกอย่างมีการเคลื่อนไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมีผลให้ต้องเสื่อมลง หรือเปลี่ยนแปลงไป ไม่สามารถคงอยู่ได้อย่างถาวร มีลักษณะที่เป็นทุกข์เห็นแล้วน่าสังเวชน่าเบื่อเพราะวนอยู่ในสังสารวัฎแบบเดิมๆ เกิด แก่ เจ็บ ตาย และไม่ใช่ตัวตน เพราะจริงๆ แล้วเราไปบังคับอาไรมันไม่ได้เลย (แต่มันชอบหลอกเรา ว่าเราทำอาไรๆ ได้ดั่งใจ)
ยกตัวอย่าง สมมติว่าตอนนี้เรามีความสุขมาก หน้าที่การงานดี ความรักดี มีเงินทอง ครอบครัวอบอุ่น พ่อแม่มีความสุข สุขภาพแข็งแรง มีความสุขดีทุกอย่าง ไม่มีความทุกข์ร้อนใจใดๆ เราก็อยากจะ Freeze สภาพที่ดีๆ ทั้งหลายนี้เอาไว้ทั้งหมดใช่มั๊ย แต่มันก็ทำไม่ได้ พอเวลาหมุนไปทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมดไม่สามารถคงสภาพอาไรได้ บังคับอาไรใครก็ไม่ได้ เดี๋ยวก็ทุกข์อีกล่ะ ไอ่นู่นไม่ได้ดั่งใจ เด่วก็เจ็บป่วย เสียเงินเสียทองอีกล่ะ ญาติพี่น้องก็ค่อยๆ เจ็บป่วย ล้มตายไปเรื่อยๆ บังคับอาไรไม่ได้เลย
(ในทางกลับกัน เวลาที่ทุกข์มากๆ ไม่มีทางออก ก็ไม่ต้องพยายามไปทำอาไร เดี๋ยวทุกอย่างมันก็เสื่อมสลายหายไปเองเช่นกัน ไม่สามารถ Freeze ความทุกข์แสนสาหัสเอาไว้ได้ตลอด)
เพราะฉะนั้นแก่นจริงๆ ก็คือ เราคาดหวังว่าอยากจะให้ทุกอย่างมันเป็นอย่างที่ใจเราคิด ดีครบถ้วน สมบูรณ์ แต่ทุกอย่างมันเคลื่อนออกไปเรื่อยๆ ตลอดไม่สามาถ Freeze สภาพที่ดีที่สุดเอาไว้ได้ แม้ว่าเราจะพยายามอย่างดีที่สุดแล้วก็ตาม ใจเราก็เลยมักจะเป็นทุกข์เสมอ เพราะว่าเรามักจะไปคาดหวังอยากให้มันเป็นแบบนั้นแบบนี้ (อย่างได้ดั่งใจ = ควบคุมได้ (ดั่งใจ) = ความแน่นอน) บนสิ่งที่มันเอาแน่เอานอนอาไรไม่ได้เลย (กฎไตรลักษณ์ = ความไม่แน่นอน) สรุปง่ายๆ ว่าอยากได้อะไรที่มันแน่นอน ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มันเคยมีความแน่นอนเลย มันก็เลยเป็นไปไม่ได้ ไม่รู้จะใช้คำว่าไรดี เหมือนกับเราต้องการ Freeze หยุดกาลเวลาอาไรแบบนั้น ซึ่งในโลกที่กายหยาบแบบนี้มันทำไม่ได้ มันไหลและเสื่อมลง เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-และดับไปอยู่ตลอเวลา เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำได้จริงๆ ก็คือ ใส่ input ทุกอย่างให้มันดี แต่ไม่ต้องหวัง output ว่ามันจะออกมาดีหรือไม่ (แต่ถ้าเชื่อให้กฎแห่งกรรม วันนี้กรรมดีอาจจะยังไม่ส่งผล แต่ถ้าเราอัดแต่ input ดีๆ เข้าไปตลอด (ทาน ศีล ภาวนา => ศีล สมาธิ ปัญญา) สุดท้าย output แย่ๆ ก็จะไม่ค่อยออกมาแระ เรียกว่าอัด speed กรรมดี หนีกรรมชั่ว หรือใส่น้ำดีเข้าไปเยอะๆ ให้น้ำเสียมันเจือจาง) ทวยเทพเทวดาก็เริ่มมาปกป้องคุ้มครอง, slogan ของผมก็คือ กรูทำดีไว้ก่อน ผลจะดีหรือไม่ดีก็ช่างแม่ม!! ก็คือ เลิกทำกรรมชั่วให้หมด หยุดสร้างเวรสร้างกรรม อาไรที่เค้าสอนว่าทำแล้วไม่ดีก็อย่าไปทำ รักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์ หมั่นทำทานละความตระหนี่ในใจ แล้วท่องเอาไว้ว่าชาตินี้กรูขอชาติสุดท้่ายล่ะนะ กรูเบื่อล่ะโลกมนุษย์ ยากดีมีจน ชื่อเสียง สุขทุกข์ อาไรๆ สุดท่้ายมันก็เท่านั้นแหละ ตายไปก็เอาไปไม่ได้ เกิดใหม่ก็จำไรไม่ได้อีก แม้คนรัก พ่อแม่พี่น้องชาตินี้ ตายไปชาติเกิดใหม่ก็จำกันไม่ได้แระ (จิงๆ ทุกคนเราก็พี่น้องกันหมดนะ) พอเกิดมาใหม่ก็มาทำงาน แต่งงานมีลูก ป่วย แก่ ตาย วนไปวนมาซ้ำซากน่าเบื่อ ไม่มีสิ่งใดที่เป็นสาระให้น่ายึดติดได้เลย (จิงๆ ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็ คือ ถ้าเกิดเราทำพลาดขึ้นมาทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ก็ซวยอีก เกิดใหม่ก็อาจกลายมาเป็น หมู หมา (ขี้เรื้อน) กา ไก่ ถ้าพลาดหนักๆ ก็ลงนรกยาวเลย ไม่ต้องผุดต้องต้องเกิดกันอีกนานแสนนานเลยทีเดียว ทรมานหนักด้วย)
"ถ้าจิตวิญญาณคุณถูกเผาไหม้อยู่ในขุมนรก คุณจะสามารถมีความสุขได้มั๊ย?"
"ผู้ชนะที่แท้จริง คือ ผู้ที่ยอมให้ศัตรูสามารถเอาเปรียบตัวเองได้อย่างเต็มใจ"
เมื่อกี้ข้างบนเราบอกว่าตัวเรามีไรบ้าง หลักๆ ก็มีร่างกาย (ขันธ์ 5) จิต และความคิด
แต่ยังขาดอีกตัว ก็คือ ตัวสติ คือเป็นตัวรู้คอยดึงเราไว้ไม่ให้บ้า คอยกันไม่ให้จิตและความคิด อารมณ์ผสมกันเป็นตังเม เพราะฉะนั้นหน้าที่เราอีกอย่างก็คือต้องฝึกให้ตัวสติแข็งแกร่ง (สติปัฎฐาน4) ไว้เป็นตัวคอยตัดอารมณ์ ความคิด โลภ โกรธ หลง ปัญญาอ่อน อาไรต่างๆ ทิ้งไปซะ ไม่ให้มันมาเกาะกินใจ ให้ใจมันอยู่ในสภาวะที่กลางๆ ให้ได้ตลอด
สุดท้ายก็คอยใช้ปัญญาพิจารณาว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เรารู้ เห็น ได้ยิน ได้กิน ได้สัมผัส สุดท้ายมันก็เท่าน้้น ไม่มีอาไรเที่ยงแท้ยั่งยืน ตัวเราเองก็ไม่เที่ยงแท้ยั่งยืน ก็ทำไปเรื่อยๆ สุดท้ายมันก็จะเบื่อโลก คลายกำหนัดไปเอง ไม่มีอะไรให้น่าลุ่มหลงยึดติด สุดท้ายก็จะไม่มีเรื่องอาไรให้ surprise อีกแล้วในโลกใบนี้
เขียนลวกๆ งงๆ ไม่ได้ขัดเกลาภาษา เก็บไว้ก่อนนะคับ บรรยายยากจิงเรื่องนี้ งูๆ ปลาๆ มาก
No comments:
Post a Comment