Saturday, 17 May 2014

***May 18, 2014 - คุณรู้อาไรเกี่ยวกับการเทรดบ้าง ตอนที่ 1

เปลี่ยนใหม่เขียนเป็น Series มั้งดีกว่า อิอิ

ผมเคยเล่นหุ้นตัวแรกในชีวิต คือ IPO ของการบินไทย ตั้งแต่ตอนยังเป็น ด.ช.อายุสิบนิดๆ เท่าไหร่จำไม่ได้ตอนนี้ก็ผ่านมา 20 ปี++ ล่ะ ตอนนี้หุ้นการบินไทยเป็นยังไงบ้างคงรู้กันดี ตอน IPO หุ้น 60 บาท จำกัดให้คนซื้อได้คนละ 200 หุ้น แย่งกันจะเป็นจะตาย 555

กิจการที่ดีเหมือนกาลเวลาพิสูจน์ม้า!! ระยะทางพิสูจน์หุ้น!! เอ๊ะ 555
อาไรที่มันดีและอยู่บนหลักการที่ถูกต้อง สุดท้ายมันจะเติบโตและงอกเงย
อาไรที่ไม่ดีรวมถึงหลักการไม่ถูกต้อง ก็ทำได้แค่ประคองตัว ค่อยๆ ตกต่ำ และรอวันล่มสลาย

ที่บ้านตอนนั้นมีหุ้นตัวเด็ด คือ ภัทรธนกิจ ไฟแนนซ์อันดับ 1 ของประเทศ ราคาหุ้นพุ่งกระฉูด นึกว่ารวยแล้วกรู สุดท้ายแล้วใบหุ้นมันก็เป็นแค่เศษกระดาษ บ้านผมเจ๊งหมดตัวไปกับหุ้นตัวนี้

สมัยเรียนตั้งใจเรียนด้านการเงินเพื่อจะทำงานเกี่ยวกับทางด้านหลักทรัพย์ แต่จบออกมาช่วงต้มยำกุ้ง ไฟแนนซ์ปิดไป 56 แห่ง บล. บง. เจ๊ง lay off กันระนาว เราเด็กจบใหม่ สมัครงานไปไม่เคยมีใครเรียก สุดท้ายเลยหนีไปทำ IB ดีกว่า ทำด้านปรับโครงสร้างหนี้ แผนฟื้นฟูกิจการ ช่วยเหลือบริษัทที่กำลังจะเจ๊งแทน ช่วงทำ IB ก็เป็นช่วงที่ได้เรียนรู้อาไรเยอะ งานก็หนักแบบเลือดตาแทบกระเด็น กลับบ้านเที่ยงคืน โดยเฉลี่ย ตีสามตีสี่บ้าง ทำยันเช้าบ้าง ทำติดๆ กัน 7 วันนานเกือบ 2 เดือนก็มี ทำจนสายตาสั้นเลย แม่ม!

การดูหุ้นสมัยนั้นไม่มีกราฟครับ มีแต่กล่อง teletext ตอนนั้นก็หรูสุดแล้ว (ดีกว่าดูตัววิ่งในช่อง 9 เยอะ!!)

ตำราเรื่องหุ้นสมัยนั้นไม่มีครับ มีแต่ของหนังสือ กากๆ ไรก็ไม่รู้ หุ้นก็ปั่นกันระเนระนาด
เคย XEROX หนังสือวิธีการอ่านแท่งเทียนมาจากห้องสมุดตอนเรียนปี 4 แต่ไม่รู้จะเอาไปใช้ที่ไหน เรียนจบมาเกือบ 10 ปี รายย่อยถึงจะเพิ่งได้มีปัญญามีกราฟแท่งเทียนเอาไว้ดูเองที่บ้านได้!!! เรียน option มาเกือบ 20 ปีที่แล้ว แต่บ้านเราก็ยังไม่มีสภาพคล่องเพียงพอ!!!

สาย VI ก็เริ่มกำเนิดก่อน เพราะบ้านเรายังไม่มีกราฟให้รายย่อยดู จนเริ่มมีกราฟให้ดู สาย technical จึงเริ่มตามมา เมื่อก่อนก็มีแต่ตำรา VI เต็มบ้าน หลังๆ ก็มีแต่ตำรา Technical เต็มบ้าน

สุดท้ายก็ค่อยมาเรื่อง MM และ Mental ในที่สุด ซึ่งเรื่องพวกนี้เค้าไม่ค่อยสอนกัน ตำราก็ไม่ค่อยมี มีก็บอกไม่หมด หาคนรู้จริงก็ยาก... เพราะถ้าใครได้ความรู้พวกนี้ไป ก็เท่ากับได้มหาขุมทรัพย์ไว้ในครอบครอง...  บางคนก็คิดว่ารู้จริงแล้วแต่จริงๆ แล้วมันอาจจะยังไม่ใช่ก็ได้... เพราะตลาดจะซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่รู้จักเตรียมพร้อม ปรับตัวและเปลี่ยนแปลง

ถึงช่วงวิกฤตจริงๆ ถึงจะวัดกันได้ ถ้าใครไม่ได้เตรียมโหมด survival ไว้ อาจจะไม่รอด... นะคับ

1 comment:

  1. copy มาจากใน facebook คุณ Deer Freedom
    จะเห็นได้ว่าสัมพันธ๋กันนะครัชชช


    Deer Freedom
    3 hrs · Edited ·
    วิกฤจิการเงินปี 40 นั้นทีมวิจัย บล.ภัทร รู้ล่วงหน้าตั้งปีกว่า ว่าไทยกำลังเจอหายนะทางเศรษฐกิจ 5555
    ทีมวิจัย ภัทร พบว่า หุ้นในตลาดไทยมากกว่า 30% มีกระแสเงินสดรับ EBITDA ต่ำกว่าดอกเบี้ยจ่าย ดังนั้นจึงอุปมานได้ว่ากว่า 30% ของบริษัทในตลาดหุ้นไทยยุคนั้น จะเป็น NPL หรือคิดเป็นความเสียหายกว่า 7 แสนล้าน (ฟองสบู่แตกจริงหนี้เสียมันลามถึง 45% ของตลาดหรือ 2.7 ล้านล้านบาท)
    ** จะเห็นว่า การรู้ล่วงหน้าของภัทร มาจากพื้นฐาน และข้อสังเกตุความรู้ทางบัญชี การอ่านงบการเงิน แล้วจะส่งต่อไปให้นักเศรษฐศาสตร์ขยายความตาอ
    ดร.ศุภวุฒิ ถึงขนาดเดินทางไป World Bank เพื่อหาข้อมูลว่า ประเทศไทยจะหาทางลงยังไง แต่ที่ผมแอบตกใจมากคือ ทีมวิจัยภัทร เอาข้อมูลไปให้รัฐบาลและแบงค์ชาติดู ทุกคนตกใจมาก (ผมตกใจกว่า ว่านี่พวกมึงไม่รู้เชี่ยอะไรกันเลยหรอ 5555+)
    รัฐบาลก็บอกให้ภัทรเงียบๆ ไว้ กำลังหาทางแก้อยู่ แล้วภัทรก็นำบทวิจัยนี้ให้ลูกค้าของเขาอ่าน แน่นอนชินคอร์ป ก็เป็นลูกค้าภัทร ที่อ่าน และทำตามคำแนะนำ คือ ทำประกันค่าเงินบาทล่วงหน้า ทักษิณจึงรอดพ้นวิกฤษครั้งนั้นมาได้ 55555
    แน่นอนตอนนั้นแบงค์ทั่วโลกรู้กันหมดแล้ว ทยอยถอนเงินออกจากไทยแล้วนิตยสาร The Economist ก็ขึ้นหน้าปกประเทศไทยว่า The Fall of Thailand ซึ่งก็ถูกห้ามขายในประเทศไทยอีกด้วย สรุปคือวิกฤติการเงินปี 40 นั้น เขารู้กันทั้งโลก ยกเว้นคนไทย 555555
    การเมืองแบบไทยสไตล์
    "โลกรู้ไม่ว่า อย่าให้คนไทยรู้" 5555
    ต้นตอสำคัญของวิกฤติการเงินปี 40 เท่าที่ผมศึกษามานั้น มันมาจาก "การไม่รู้อะไรเลย ของคนที่กำหนดทิศทางประเทศนั่นเอง"
    เราผ่านวิกฤติการเงินมา 17 ปีแล้วนะ ผมว่าวิกฤติการเงินรอบใหม่กำลังก่อตัวนะ คงอีกไม่นานหรอก มันคงจะมาพร้อมกับการเปิดเสรีอะไรนั่นแหละ 555555

    ReplyDelete